พิธีกู้-ปลูกว่าน และฤกษ์กู้-ปลูกว่าน

ว่านแตกต่างจากต้นไม้ ตลอดจนสมุนไพรทั่วไป ที่มีมิติแห่งความเชื่อ พิธีกรรม หรือกรรมวิธีทางจิตศาสตร์มาร่วมด้วย การกู้เก็บว่านก็ค่อนข้างมีแบบแผนพิธีกรรมที่เฉพาะออกไป ในแต่ละกลุ่มว่านหรือแม้แต่ในว่านแต่ละตัว

หากไม่ได้กู้เก็บว่าน อิทธิฤทธิ์ของว่านจะค่อยๆเสื่อมลง

อ้างอิงข้อมูลของ ตำราคุณลักษณะว่าน และวิธีปลูกว่าน โดย นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ กล่าวว่า

อิทธิฤทธิ์ของว่านนั้นจะมีคงที่ตลอดไปได้มักเป็นว่านที่ได้ปลูกติดต่อเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคนมาแล้วโดยมาก  เพราะผู้ปลูกเหล่านั้นทราบเคล็ดลับของการทำให้ว่านคงทรงอิทธิฤทธิ์อยู่โดยมิเสื่อมคลาย  ส่วนว่านที่ขึ้นเองตามป่าเขาโดยธรรมชาตินั้นมักไม่ใคร่มีอิทธิฤทธิ์  ทั้ง ๆ เป็นว่านชนิดเดียวกันอย่างเดียวกัน

ตำราคุณลักษณะว่าน และวิธีปลูกว่าน
อ้างอิงส่วนหนึ่ง ในตำรา ตำราคุณลักษณะว่าน และวิธีปลูกว่าน นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ

ในการนี้ถึงแม้จะได้นำเอาว่านมาปลูก  ถ้ามิได้ระมัดระวัง  โดยปล่อยให้ว่านขึ้นและโรยราไปเองตามธรรมชาติหรือปล่อยให้ว่านคงอยู่ในดินตลอดระยะเวลาจนกว่าจะถึงฤดูฝนมาใหม่  ว่านก็จะผลิแตกต้นอีก  แต่อิทธิฤทธิ์ของว่านนั้นจะจืดจางเสื่อมลงไปทุกที  นาน ๆ หลายฝนเข้าก็หมดฤทธิ์ไปเอง  ทั้งนี้เป็นเพราะธาตุสาร(ปรอท) ในตัวว่านลืมต้น  คือหนีออกไปจากต้นในขณะเมื่อว่านโทรมในฤดูแล้ง  ถ้าหากได้กู้ว่านขึ้นจากดินภายในเดือน ๑๒  วันอังคารหรือภายในเดือนอ้ายไม่เกินข้างขึ้นอ่อน ๆ วันพุธเสียก่อนแล้ว  คืออย่าให้ว่านคงอยู่ในดินเลยพ้นถึงฤดูนกกาเหว่าหรือนกยูงร้องหาคู่จึงจะไม่เสีย  ถ้าปล่อยให้หัวว่านคงอยู่เลยฤดูนี้ไป ว่านนั้น ๆ ก็จะเสื่อมอานุภาพลงไปเรื่อย ๆ

จากข้างต้นจึงเป็นหลักฐานยืนยัน ๒ ประเด็นคือ

๑. ว่านบ้านย่อมดีกว่าว่านป่า เพราะว่านป่าเอาแน่เอานอนไม่ได้ ปรอทลืมต้นไปแล้ว แม้มีโอกาศกลับมาใหม่ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกลับมาเท่าเดิม อาจไม่กลับมาเลยก็ได้ถ้าเหตุปัจจัยไม่ครบ (ส่วนใหญ่ไม่ค่อยกลับมา)

๒. การกู้ว่านทุกปีย่อมดีกว่าการไม่กู้ว่านเลย อันนี้ในมุมคติทางว่าน หรือทางไสยศาสตร์ครับ ยังมีอีกประเด็นคือ การกู้ว่านเป็นการดูผลผลิตแต่ละปีว่าเหลือมากน้อยอย่างไรจะได้เตรียมการในฤดูต่อไปได้ และเป็นการเอาซากว่านเก่าที่ฝ่อและพร้อมจะเป็นแหล่งเชื้อโรคหากไม่ได้ทำการกู้เก็บ และเอาซากว่านเหล่านั้นออก

บรรยากาศการกู้ว่าน
เมื่อถึงฤดูกู้ว่าน คือฤดูแล้ง ว่านส่วนใหญ่โดยเฉพาะว่านกลุ่ม ขมิ้น ขิง ข่า จะลงหัว เราก็จะทำการกู้เก็บว่านไว้ใช้ หรือเก็บเพื่อเพาะปลูกในฤดูกาลต่อไป

พิธี การกู้ หรือเก็บเอาว่านขึ้นเก็บไว้

1)      ให้เลือกเอาวันอังคารวันใดวันหนึ่งในเดือน ๑๒ หรือไม่เกินวันพุธข้างขึ้นอ่อน ๆ ของเดือนอ้าย  เป็นวันขุดเอาหัวว่านขึ้น

2)      เวลาจะขุดว่าน  ให้ใช้มือตบดินตรงใกล้กอว่านหรือต้นว่านนั้นแล้วว่าคาถาเรียกว่านไปตบดินไปสลับกัน จนกว่าคาถาใช้เรียกว่านจะจบลง  จึงขุดเอาหัวว่านขึ้นมา

3)      คาถาสำหรับเรียกว่านมีดังนี้ “อมขุก ๆ กูจะปลุกพญาว่านให้ลุกก็ลุก  กูจะปลูกพญาว่านให้ตื่นก็ตื่น  พญาว่านหนีไปอื่นให้แล่นมาหากูนี่เน้อ  มาฮอดแล้วพันเฝ้าตื่น อม มะ สะ หะ หับคงทน

4)      ในการขุดเอาว่านขึ้นใช้หัวเพื่อนำไปทำอะไรหรือติดตัวไปไหนด้วย หรือจะขุดเพื่อเก็บว่านเอาไว้เพราะมีมากเกินไป ก็ต้องใช้คาถาเรียกว่านกำกับเวลาขุดขึ้นทุกคราวไป ว่านนั้น ๆ จึงจะทรงอิทธิฤทธิ์คงที่อยู่เสมอไม่เสื่อมคลายลงเลย

ฤกษ์ในการขุดหรือปลูกว่าน

การขุดหรือปลูกว่านให้คงมีอิทธิฤทธิ์โดยไม่เสื่อมคลายนั้น ท่านมีวันกำหนดให้ทำการใน

เดือนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

เดือนอ้ายหรือเดือน ๑                          ใช้วันพุธ

เดือนยี่หรือเดือน ๒ กับเดือน ๗               ใช้วันพฤหัสบดี

เดือน ๓ กับเดือน ๘                            ใช้วันศุกร์

เดือน ๔ เดือน ๙ กับเดือน ๑๑               ใช้วันเสาร์

เดือน ๕ กับเดือน ๑๐                         ใช้วันอาทิตย์

เดือน ๖ กับเดือน ๑๒                          ใช้วันอังคาร

ตามตำราโดยมากมักปลูกในเดือนวันอังคาร และขุดในเดือน ๑๒ วันอังคาร  เหมือนกันอย่างนี้เกือบทุกเล่ม  ทั้งนี้เพราะเดือน ๖ วันอังคาร  เป็นฤดูฝนเหมาะแก่การปลูก และเดือน ๑๒ เหมาะแก่การขุดเอาขึ้น  เพราะเป็นสมัยน้ำจะลงมาท่วมบรรดาพืชที่ปลูกกับพื้นดินนั่นเอง  ส่วนวันอังคารทั้ง ๒ เดือนนั้น  ก็เพราะเป็นเกณฑ์ฤกษ์ดีของเดือน ทั้งสองนั้นตกในวันอังคาร

จุดธูปบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ปกติเราจะทำการบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลต้นว่าน อันมีพระฤาจังตังกปิละ เป็นต้น เพื่อให้การกู้ว่านเกิดสัมฤทธิ์ผลและเกิดสรรพมงคลโดยทุกประการ

เคล็ดลับของการขุดว่าน เพื่อให้ต้นว่านขลังเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์คือ  ในขณะที่ยกต้นว่านขึ้นจากดินที่ปลูกอยู่เดิมเมื่อขุดออกได้แล้ว  ให้ร้องว่า  ขะโมย…ขะโมย…ขะโขย ๓ ครั้ง ดังนี้แล้ว  จึงนำว่านนั้นไปปลูกตามพิธีการปลูกว่านแต่ละชนิดให้ถูกต้องต่อไป  เมื่อทำได้ดังนี้  ต้นว่านนั้นจะคงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ตามอิทธิฤทธิ์ที่มีโดยมิเสื่อมคลาย (เข้าใจว่านี้เป็นกลของคนโบราณที่ป้องกันไม่ให้ใครมาขโมยว่าน เลยแทรกบทคติลวงขึ้นมาเอาไว้จับขโมยครับ อีกประการอาจเป็นเรื่องของการขโมยฤทธิ์ว่านจากพิทยาธรที่บางคติเชื่อว่าฤทธิ์ว่านนั้นส่วนหนึ่งก็เกิดมาจากพวกนักสิทธิ์พิทยาธร)

วิธีปลูกว่าน

เพราะว่านเป็นกายสิทธิ์มีคุณฤทธิ์โดยเฉพาะตัวของว่านเอง  ฉะนั้นการปลูกจึงต้องมีพิธีรี-ตรองมากกว่าการปลูกพืชธรรมดาทั่วไป เช่นในการปลูกว่านจะต้องหาวันฤกษ์ดีของเดือนที่จะปลูก  เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ผู้ปลูกเองกับเป็นการเพิ่มคุณฤทธิ์ให้แก่ว่านไปด้วยในตัว  โดยมากมักปลูกกันในวันอังคาร  เดือน ๖ เพราะเป็นหน้าฝนเหมาะแก่การปลูกพืชชนิดนี้มากกว่าเดือนอื่น

ดินที่ใช้ปลูกว่านต้องเป็นดินสะอาดปราศจากวัตถุพวกมูลสัตว์ต่าง ๆ เจือปน  และเป็นดินบริเวณกลางแจ้งไม่มีอะไรบัง  ควรร่อนเอาแต่ส่วนละเอียด ๆ ไปใช้  ดินมี ๒ สี คือดำกับแดง

  1. เป็นดินร่วน
  2. เป็นดินปนทราย
  3. เป็นดินเผาไฟแล้วทุบให้ละเอียด ทิ้งตากน้ำค้างไว้คืนหนึ่ง
  4. เป็นอิฐเผาไฟแล้วทุบให้ละเอียด
  5. หญ้าแห้งสับเป็นท่อน ๆ ขนาดครึ่งนิ้ว สำหรับผสมปนกับดินหรือดินปนทราย

เวลาเอาหัวว่านลงแล้ว  เวลากลบดินอย่ากลบให้ดินแน่นเกินไปนัก  เพื่อน้ำที่รดจะได้ซึม

ได้ง่าย หากกดดินแน่นหัวว่านเกินไป  น้ำซึมได้ช้า  ทำให้หัวว่านชุ่มน้ำเกินไปอาจเน่าเสียโดยง่าย  และส่วนมากควรเหลือหัวว่านให้โผล่พ้นดินสักนิดหน่อยเพื่อสะดวกในการแตกต้นขึ้นใหม่

ตัวอย่างว่านที่ทำการกู้มาใช้
ตัวอย่างว่านที่ทำการกู้มาใช้ หรือกู้มาเก็บไว้เตรียมปลุกเศกตลอดฤดูแล้ง จนกระทั่งเมื่อถึงฤดูฝน ก็จะทำการนำกลับไปปลูกอีกครั้ง

คาถาในการรดน้ำว่านเมื่อปลูกแล้ว

ว่านสำคัญ ๆ ที่มีคุณฤทธิ์มาก  จำเป็นต้องเศกคาถากำกับในเวลาก่อนรดน้ำ  คาถามีต่าง ๆ กันดังนี้

๑. “อิติปิโสภควา  อรหังสัมมาสัมพุทโธ  วิชาจรณสัมปันโน  สุขโต  โลกวิทู  อนุตตโร  ปุริสสธัมมสารถิ  สัตถา  เทว  มนุสสานัง  พุทโธ  ภควาติ”  ว่าจบ ๑ บ้าง ๓ จบบ้าง ๗ จบบ้าง  แล้วจึงรดน้ำ

๒. “สัพเพเตโรคา  สัพเพเตภะยา  สัพเพเตอันตรายา  สัพเพเตอุปัททวา  สัพเพเตนิมิตา  อวมังคลาวินาสสันตุ” เสก ๙ จบ แล้วจึงรดน้ำ

๓. “มหาลาโภ  โหตุ  ภวันตุเม” ๓ จบจึงรดน้ำ

๔. “นโมพุทธายะ”  จบหนึ่งบ้าง ๓ จบบ้าง ๗ จบบ้าง  และตามกำลังวันคือวันอาทิตย์ ๑ จบ ถึง เสาร์ ๗ จบบ้าง  จึงรดน้ำ

แสงแดดกับการปลูกว่าน

ในการปลูกว่านลงกระถาง  ควรเอาออกตั้งไว้ในที่แจ้งเพื่อรับแสงแดดในตอนเช้าและตอนบ่าย  ส่วนตอนกลางวันแดดจัดมาก  ควรทำร่มบังแดดให้  เพราะการปลูกในกระถางนั้นดินไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้มากเหมือนอย่างพื้นดิน  ซึ่งรากของว่านอาจสามารถซอกซอนดูดน้ำตามพื้นดินมาบำรุงลำต้นให้ชุ่มชื้นกันความร้อนของแดดได้

อนึ่ง  ขณะที่เริ่มปลูกใหม่ ๆ ควรระมัดระวังในเรื่องแสงแดด  อย่าให้ถูกจัดนัก  และเรื่องดินอย่ากดให้แน่นเกินไป  น้ำอย่ารดให้ชุ่มโชกโชน  เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการเล่นว่านมากเหลือเกิน  ถ้าผู้ปลูกไม่เอาใจใส่ทนุถนอมว่านมักเน่าจากรากและหัวหรือเกิดเหี่ยวแห้งเฉาตายเป็นส่วนมาก

เพื่อให้ว่านสำคัญ ๆ ที่ปลูก  เกิดผลศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นในอิทธิฤทธิ์แน่นอนสมเจตจำนงหรือตำราที่กล่าวไว้ควรใช้แผ่นทองแดงลงยันต์ด้วยอิติปิโสแปดทิศ  ซึ่งเข้าพิธีปลุกเศกอย่างดีแล้ว  พร้อมด้วยสิ่งอาถรรภ์อันเป็นมงคลหรือผงศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ตามสมควรมาฝังไว้โคนต้นว่านที่ปลูกไว้นั้น (มีกล่าวถึงกรรมวิธีการทำให้เฉพาะผู้ที่ยกเรียนในสำนัก แม้ตำราไสยศาสตร์ที่มีขายทั่วไปก็มีการบังเคล็ดวิชาเอาไว้ เพราะวิชาเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการอ่านท่องได้ แต่ต้องรู้เคล็ดการวางจิตหรือเดินจิตด้วย)

ในขณะจะทำการขุดว่าน  ควรเอาน้ำมนต์ที่เสกด้วยสัพพาสีแปดจบ  พรมให้ทั่วต้นว่าน  และบริเวณโคนต้นโดยรอบเสียก่อนแล้วจึงขุด  ก็จะเพิ่มอิทธิฤทธิ์แก่ว่านนั้น ๆ ยิ่งขึ้น

บทสัพพาสี (บทขัด ขันธะปะริตตะคาถา)

* มิติการบังวิชาอย่างหนึ่งของคนโบราณคือกล่าวอะไรที่เฉพาะคนเคยเรียน หรือคนในสำนักจะรู้กัน ไม่เว้นแม้แต่ตัวว่านและคาถา ดังนั้นการอ้างอิงตำราเก่ามากเกินไปโดยไม่เคยผ่านการเรียนในสำนักมาก่อนจะทำให้หลงทางได้…

สัพพาสีวิสะชาตีนัง ทิพพะมันตาคะทัง วิยะ

ยันนาเสติ วิสัง โฆรัง เสสัญจาปิ ปะริสสะยัง

อาณักเขตตัมหิ สัพพัตถะ สัพพะทา สัพพะปาณินัง

สัพพะโสปิ นิวาเรติ ปะริตตันตัมภะณามะ เห ฯ (บางมติ บางจังหวะใช้ พณามะหาย)

คำแปล บทขัดขันธะปะริตตะคาถา

พระปริตรอันใด ย่อมยังพิษอันร้ายแห่งงูร้ายทั้งหลาย

ให้ฉิบหายไป ดุจยาวิเศษอันประกอบด้วยมนต์ทิพย์

อนึ่งพระปริตรอันใด ย่อมห้ามกันอันตรายอันเศษของสัตว์ทั้งสิ้น

โดยประการทั้งปวง ในอาณาเขต ในที่ทั้งหมด ในกาลทุกเมื่อ

เราทั้งหลาย จงสวดพระปริตรอันนั้นเทอญ.

สำหรับคนเรียนในสำนักจะมีเคล็ดการแก้การหลีกเลี่ยง

มิติทางว่านผูกกับมิติทางไสยศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ และโหราศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสำหรับคนเรียนอย่างลึกซึ้งจริง แบบเรียนตามพ่อก่อตามครู ยกเรียนอย่างถูกต้องนั้น มติบางอย่างที่ห้าม หรือที่บังคับ จะมีการหลีกเลี่ยงหรือแก้ได้ อาทิ

  • หากไม่สะดวกในการกู้ว่านทุกปี จะใช้วิธีการกู้ปีเว้นปีก็ได้ โดยประกอบพิธีผูกจุกว่าน เป็นการผูกปรอทไม่ให้ลืมต้น
  • หากจำเป็นหรือไม่แน่ใจว่าปุ๋ยหรือดินที่เราปลูกนั้นมีมลทิน เช่น ขี้วัว(บางตำราห้าม) ขี้สัตว์หรือไม่ จะมีวิธีสะตุดิน หรือวิธีชำระดิน
  • หากจำเป็นด้วยติดธุระจริงๆในการกู้ว่าน จึงไม่สามารถกู้ว่านตามฤกษ์ได้ จะมีวิธี มีคาถาในการแก้ฤกษ์ หรือถึงขนาดเชิญฤกษ์ได้ (แต่อย่างไรเสียใช้ฤกษ์จริงๆย่อมดีที่สุด มั่นใจที่สุด)

นั่นหมายความว่า การเล่นว่านให้ง่าย ให้ได้ผลดีไม่หลงทาง จำต้องมีพี่เลี้ยงที่รู้จริง(ครูพัก) มีตำราที่ถูกต้อง บังวิชาน้อยที่สุด(ครูอักษร) และจำต้องยกเรียนให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม เพื่อรับทั้งวิชา รับทั้งนิสัย(มติของการอยู่ร่วมกันในสังคม สำนัก) จากครูใหญ่คือคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆจริงๆ ที่ผ่านการครอบมือให้สอนได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งเชื่อมต่อกระแสแรงครู เพื่อให้วิชา ตัวว่าน ตัวคาถาใช้ได้ผลเป็นอัศจรรย์

เอวังฯ…

อรรถวัติ กบิลว่าน

๑๑ ก.พ.๖๔ ณ รังว่านอรรถวัติ บ้านสวนสุขสบาย จ.กำแพงเพชร