สารบัญ: คลิ๊กเลือกอ่าน
ว่านรางจืด
ฉบับที่แล้วนั้นผมได้กล่าวถึงว่านที่ใช้ในทางยาคือ “ว่านมหากาฬ” และ “ว่านหัวน่วม” ไปแล้ว ฉบับนี้เลยขอติดลมบนสักหน่อยกล่าวถึงว่านที่ใช้ในทางรักษาโรค ที่ผมเองแนะนำให้มีปลูกติดบ้านไว้ ด้วยเพราะเป็นที่ประจักษ์แก่ตนเองและครอบครัวตลอดจนกระทั้งสัตว์เลี้ยงมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในการช่วยถอนพิษของเบื่อเมาและสิ่งปนเปื้อนยาฆ่าแมลง นั่นคือว่านที่เรียกว่า “ว่านรางจืด” ครับ
ว่านรางจืดในตำราโบราณ
ว่านรางจืด หรือ “ว่านจางจืด” นี้ ตามตำราว่านเก่ามี ๒ ต้นหลักๆด้วยกัน คือชนิดต้นแบบขมิ้น กับชนิดต้นไม้เถา-เครือ โดยต้นแบบขมิ้นมีกล่าวในตำราของ
- “ตำหรับ กระบิลว่าน” โดย หลวงประพัฒสรรพากร หน้า ๓๐
- “ตำราดูว่านและพระเครื่องพระบรมธาตุ” โดย ชัยมงคล อุดมทรัพย์ หน้า ๙ เรียกรางจืด และหน้า ๓๐(ซ้ำ) เรียกจางจืด
- “ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด” โดย พยอม วิไลรัตน์ หน้า ๙๐-๙๑
- “ตำราปลูกและดูลักษณะว่าน” โดย อุตะมะ สิริจิตโต หน้า ๙๔-๙๕
- “ตำราว่านวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์” โดย อาจารย์ชั้น หาวิธี หน้า ๔๐
- “ตำราคุณลักษณะว่าน และ วิธีปลูกว่าน” โดย นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ หน้า ๑๒๘
- “ตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์” โดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น หน้า ๓๗ เรียก ว่านนางจืด
ตามตำราดังกล่าวข้างต้นกล่าวโดยรวมคือ ว่านจางจืด หรือ ว่านรางจืดต้น นั้น
ลักษณะ หัวและต้นคล้ายขมิ้น เนื้อในหัวมีสีนวล ต้นและใบเขียว เมื่อต้นแก่ออกดอกแล้ว ต้นจะโทรมไปคราวหนึ่ง พอถึงฤดูฝนต้นก็จะงอกงามขึ้นมาใหม่อีกจากหัวที่อยู่ใต้ดิน
ประโยชน์ มีกลิ่นและรสหอมเย็น มีคุณในทางแก้ยาเบื่อเมา และแก้ลมเพลมเพพัด แก้พวกถูกพรายอากาศทุกชนิด โดยใช้หัวฝนกับน้ำหรือเหล้า ทั้งทาทั้งกิน
การปลูก ใช้ดินร่วน ๆ หรือดินร่วนปนทรายบ้างเป็นดินปลูก โดยเอาหัวปลูก เมื่อเอาดินกลบหัวพอท่วมหัว เหลือหัวโผล่รำไรอยู่แล้วจึงเอาน้ำรดพอดินเปียกทั่วใช้ได้
ว่านนี้ต้นเดิมนั้นลักษณะรสจืดทานง่าย ปัจจุบันหาได้ยากที่พบโดยทั่วไปในปัจจุบันรสจะเผ็ดเล็กน้อยทานมากอาจรู้สึกคันคอบ้าง ว่านกลุ่มนี้ห้ามผสมกับว่านตัวอื่นๆในการทำวัตถุมงคลหรือเครื่องยา ยกเว้นวัตถุมงคลหรือเครื่องยาตระกูลเดียวกันคือพวกแก้-พวกถอน เพราะจะทำให้สรรพคุณของว่านตัวอื่นๆจางจืดไปเสียสิ้น หรือไม่สามารถประจุอิทธิคุณได้
ว่านรางจืดที่เป็นเถา
ส่วนว่านรางจืดอีกตัวนั้นเป็นกลุ่มไม้พวกเถาเครือ ตามตำราว่านเก่ากล่าวไว้หลายเล่มเช่นกัน ได้แก่
- “ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด” โดย พยอม วิไลรัตน์ หน้า ๙๐-๙๑
- “ตำราปลูกและดูลักษณะว่าน” โดย อุตะมะ สิริจิตโต หน้า ๙๕
- “ตำราว่านวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์” โดย อาจารย์ชั้น หาวิธี หน้า ๔๐-๔๑ เรียก ว่านรางจืด (เถา)
- “ตำราคุณลักษณะว่าน และ วิธีปลูกว่าน” โดย นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ หน้า ๑๒๙ และหน้า ๑๖๑-๑๖๒ เรียก ว่านเถารางจืด (ซ้ำ หรืออาจจะเป็นคนละต้น)
ตามตำราดังกล่าวข้างต้นกล่าวโดยรวมคือ
ลักษณะ เป็นเถาไม้เลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น ใบสีเขียว แก่รูปร่างคล้ายใบสะค้าน หรือใบคล้ายใบมะลิ เถาคล้ายเถาย่านาง เมื่อขึ้นตามต้นไม้ต้นใด ผลของต้นไม้นั้น ๆ พลอยจืดชืดไปด้วย ดอกมีสีม่วง มีตาสีเหลือง กลางกลีบมนออกเป็นช่อดกสวยงามดี เป็นทั้งไม้ดอกและไม้ร่ม พบตามภาคกลางและภาคเหนือ
ประโยชน์ทางยา แพทย์ตำบลว่า รสเย็นถอนพิษยาเบื่อเมา แพทย์ตามชนบทใช้ปรุงเป็นยาเขียวถอนพิษไข้และพิษทั้งปวง รากและเถากินเป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำแก้พิษร้อนทั้งปวง
การปลูก ขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่ง พองอกรากดีแล้วจึงแยกปลูกในที่ดินร่วน ๆ ต่อไป หรือจะใช้เมล็ดปลูกก็ได้
ประโยชน์ทางยา รสเย็น รู้ถอนพิษและถอนยาเบื่อเมาต่าง ๆ ในการแก้พิษเบื่อเมาทุกอย่างนั้น ใช้หัวของไม้นี้ซึ่งมีอยู่ใต้ดิน ตรงโคนต้นเอาไปผสมกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามสมควรก็จะทำให้สิ่งที่ผสมด้วยนั้นมีรสจืดชืด ไร้คุณค่าไปหมด เช่น ผสมกับเกลือทำให้เกลือจืด ผสมน้ำตาลน้ำตาลจืด ผสมเหล้าทำให้เหล้าจืดกินแล้วไม่เมา ผสมน้ำส้มทำให้น้ำส้มจืด ถึงเอาไปผสมกับของอย่างอื่นก็จะทำให้ของนั้นพลอยมีรสจืดตามไม้นี้ไปด้วยเช่นเดียวกัน
สรรพคุณของไม้นี้ แก้ยาเบื่อยาสั่ง ยาพิษ ถอนยาได้ทุกชนิด โดยเอาหัวมาฝนผสมกับน้ำซาวข้าวกินเพียง ๕ นาทีเท่านั้น ก็จะหายจากพิษต่าง ๆ เช่น ไข้ผิดสำแดง หรือจะกินเพื่อถอนพิษไข้ ใช้หัวฝนกับน้ำซาวข้าวกิน สำหรับแก้พิษสัตว์กัดต่อย เช่น แก้พิษงู หมาบ้ากัด แมลงป่องตะขาบ ปลาดุกยักษ์ ปลากระเบนแทง หรือพวกฝีหัวดาว หัวเดือน ปรวด ตะมอย ฝี ๑๐๘ อย่าง
ให้เอาแต่เพียงใบสัก ๓ ใบมาโขลกให้ละเอียด ใช้น้ำสุกหรือน้ำซาวข้าวเป็นกระสายพอข้น ๆ เอาพอกที่ตรงบาดแผลหรือฝีต่าง ๆ นั้นจะทำให้หายปวด และแก้พิษได้ในทันที
ไม้นี้เป็นของหายาก (เข้าใจว่าเมื่อก่อนคงปิดบังกันมาก : อรรถวัติ กบิลว่าน) เมื่อพบเห็นแล้วให้นำมาปลูกไว้ในบ้านเรือน ท่านตีค่าไว้ถึง ๕,๐๐๐ ตำลึงทองทีเดียว
การปลูก ใช้ปลูกด้วยหัว หรือจะใช้ทาบกิ่ง พอมีรากงอกก็แยกปลูกใหม่ก็ได้ หรือจะรอให้ดอกร่วงมีเมล็ดนำเอามาเพาะก็ได้เหมือนกัน
ว่านรางจืดมีกี่สายพันธุ์
จากการสอบทานข้อมูล ปัจจุบันพบว่าว่านในกลุ่มนี้มีหลายต้นด้วยกัน ได้แก่
๑. Thunbergia laurifolia L.
Thunbergia laurifolia L. คือ ว่านรางจืดเถา ที่มีการใช้ในทางยามากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งต้นนี้มีความหลากหลายทางพันธุกกรรมอยู่ด้วยกัน(variation)ประมาณ ๓ ต้น แยกตามสีของดอก คือ ๑. ดอกสีม่วง ซึ่งพบมากที่สุด ๒. ดอกสีฟ้า พบได้น้อย ๓. ดอกสีขาว พบได้น้อย
ข้อมูลจากงานเสวนา “รางจืดมากกว่าสมุนไพรล้างพิษ” ที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล
จัดร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ให้ข้อมูลประสบการณ์การใช้งานไว้อย่างน่าสนใจ คือ ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร กล่าวว่า
หมอยาพื้นบ้าน ส่วนใหญ่ใช้ในการแก้พิษ ทั้งพิษจากยาสั่ง พิษจากพืช จากสัตว์ โดยใช้ได้ทั้งราก เถา และใบรางจืดยังเป็นหมอผิวหนัง ช่วยลดการอักเสบ
คนสมัยก่อนเมื่อเจาะหูเพื่อใส่ต่างหูแล้ว จะนำก้านรางจืดมาสอดใส่รูที่เจาะทำให้แผลหายเร็ว หากเกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนัง สามารถใช้รางจืดนำมากิน ต้มอาบหรือต้มเอาน้ำทา รางจืดยังช่วยสมานแผลด้วยการคั้นน้ำจากใบมาทา และวิธีนี้แก้เริมงูสวัดได้ด้วย
สำหรับคนที่กลัวผมหงอก รางจืดนั้นมีการใช้เป็นยาอาบแก้โรคผิวหนังทั้งปวงทำให้แก่ช้า ใช้สระชโลมผมทำให้ผมหงอกช้า ถ้าจะลดความดันโลหิตสูง ให้ใช้เถา ใบ ต้มหรือชงกิน ตามที่เห็นกันอยู่ว่ามีคนนำไปทำผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพรรางจืด ในระยะหลังดอกกับยอดรางจืด ชาวบ้านนำมาต้มจิ้มน้ำพริก แล้วคนสมัยนี้จะทราบกันหรือไม่ว่าดอกรางจืดนั้นให้น้ำหวาน แต่มิใช่หวานกันทุกวันทุกเดือน จะหวานเฉพาะช่วงเดือน ๑๒ อันเป็นช่วงที่ดอกนำแน (ภาษาอีสาน) หรือดอกรางจืดบาน อย่างที่คนโบราณจะพูดว่า “น้ำแนน้ำนอง เดือนสิบสองขอน้ำกินแน” น้ำของดอกรางจืดเมื่อเด็ดออกมาดูดกินน้ำหวานจะหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า–เขาว่าอย่างนั้น
สรุปว่าประโยชน์ของรางจืดนั้นใช้ได้ทุกส่วนของต้น ราก เถา ใบ ใช้ในการแก้พิษ ส่วน ดอกและยอด แม้มิได้ใช้แก้พิษ แต่ ชาวบ้านใช้ในการกินเป็นอาหาร ยังพบด้วยว่า สารโพลีฟีนอลในรางจืดนั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างสูงมากอีกด้วย หากได้กินรางจืดบ่อย ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก
๒. Thunbergia laurifolia Wall.
Thunbergia laurifolia Wall. คือว่าน “รางจืดดอกแดง” ซึ่งต้นนี้หาคนรู้จักจริงๆน้อยมาก ส่วนมากตีความว่าเป็น Thunbergia laurifolia L. ชนิดที่มีดอกสีแดง ทำให้ไม่สามารถหาต้นจริงกันได้ และอีกประการหนึ่งเพราะด้วยภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ หรืออิสาน เรียกว่านนี้ว่า “หนามแน่แดง” ครับ ต้นนี้ดอกมีสีแดงออกส้ม ซึ่งการใช้ประโยชน์คือ
– ดอก นำไปประกอบอาหาร เช่น แกง(ลั้วะ)
– ใบและเครือ นำไปต้มหรือไม่ต้มก็ได้เอาน้ำที่อยู่ภายในลำต้นมาล้างตา แก้อาการเคืองตา ตาแดง เจ็บตา ดอกและผล นำมาตำพอกแผลที่โดนงูกัด ช่วยดูดพิษ(กะเหรี่ยงเชียงใหม่)
– เครือ ต้มน้ำกินเวลาที่โดนพิษจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง แมงมุมพิษ
– ชาวเขาเผ่าปะหล่อง ไทยใหญ่ และพม่าใช้เถาอ่อนและใบต้มน้ำอาบเป็นยาแก้ไข้ เย้าใช้เถาต้มน้ำให้เด็กอาบแก้อาการเด็กนอนไม่หลับ
– ยาพื้นบ้านล้านนา ใช้รากผสมสมุนไพรอื่น เช่นรากพญาดง Persicaria chinensis ต้มน้ำดื่มแก้อาการปวดท้องน้อยของผู้ป่วยกามโรค ยาพื้นบ้านใช้เถา รากและใบเป็นยาแก้พิษยาเบื่อ พิษยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้า เชื่อว่ามีฤทธิ์แรงกว่ารางจืด Thunbergia laurifolia
๓. Thunbergia fragrans Roxb
Thunbergia fragrans Roxb คือ รางจืดดอกขาวอีกต้นหนึ่ง ซึ่งมีภาษาท้องถิ่นว่า “หนามแน่ขาว” เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็ก มักทอดเลื้อยหรือเลื้อยพันต้นไม้ชนิดอื่นในระดับต่ำ กลีบดอกสีขาว มี ๕ กลีบ ฝักผลคล้ายว่านรางจืด (Thunbergia laurifolia)
ประโยชน์ : สามารถปลูกเป็นไม้ประดับได้ ดอกสวยงาม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทั้งเถา(เป็นที่มาของชื่อวิทยาศาสตร์) รสจืด แก้พิษเบื่อเมา แก้ไข้ ร้อนใน เนื่องจากหายากและต้นมีขนาดเล็กจึงพบว่ามีการนำไปทำยาน้อย
๔. Thunbergia hossei Clarke “น้ำแน่ดง”
Thunbergia hossei Clarke “น้ำแน่ดง” คือ ต้นและใบคล้ายว่านรางจืดดอกแดงหรือหนามแน่แดง แตกต่างกันที่ดอกมีสีเหลืองที่กรวยดอก ต้นนี้ไม่ติดผล(หรือติดยากมาก) ขยายพันธ์ด้วยการชำกิ่ง สรรพคุณทางยาคล้ายรางจืดดอกแดง แต่มีข้อมูลการใช้น้อยกว่าเนื่องจากหายาก
๕. Thunbergia grandiflora สร้อยอินทนิล
เป็นพืชกลุ่มเดียวกันกับรางจืด จุดแตกต่างที่เห็นได้ชัด ระหว่างสร้อยอินทนิลและรางจืด คือ ใบของสร้อยอินทนิลเป็นใบเดี่ยวกว้างและมีขนาดใหญ่ ที่ปลายใบหยักเว้าเป็นแฉก ในขณะที่ใบของรางจืดเป็นใบเดี่ยวรูปขอบขนานหรือรูปไข่(ใบแคบกว่า)
ประโยชน์ รากและเถา ใช้พอกแก้ฟกช้ำบวม ตำพอกแผลแก้อักเสบ ใบชงดื่มแก้ปวดท้อง ต้นนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ บางกลุ่มใช้หัวหรือรากถอนพิษเช่นเดียวกับรางจืด
นอกจากนี้ยังมีต้นที่เรียก “รางจืด” เช่นกันแต่เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก นั่นคือ Crotalaria verrucosa L. รางจืดต้น หิงหายใหญ่ หรือ “รางจืดตัวเมีย” เป็นพืชล้มลุกขึ้นตามที่รกร้าง ส่วนใหญ่ดอกสีเหลือง มีบางชนิดดอกสีม่วง ฝักกลมพอง ถ้าเป็นต้นเล็กหรือหิ่งหายผีนิยมใช้ในทางไสยศาสตร์
ทั้งต้น รสจืดเย็น ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้สูง ขับพิษไข้หัว แก้กระสับกระส่าย คลั่งเพ้อ ร้อนกลุ้มภายใน
ราก รสจืดเย็น ดับพิษร้อน พิษไข้สูง แก้พิษยาเบื่อยา ยาสั่ง โดยใช้รากฝนกับน้ำดื่ม
(พืชในกลุ่มหิ่งหายมีสารสำคัญ คือ อัลคาลอยด์ที่มีนิวเคลียสเป็น pyrrolizidine ชื่อว่า monocrotaline เป็น monocrotalic acid ester ของอัลคาลอยด์ retronecine เป็นพิษต่อสัตว์เคี้ยวเอื้อง ถ้ากินมากจะทำลายตับและเสียชีวิต ดังนั้นการนำมาใช้แก้พิษในคน ควรอยู่ในปริมาณที่พอควร เพราะเป็นการใช้พิษแก้พิษควรต้องระมัดระวัง)
เรียบเรียงโดย อรรถวัติ กบิลว่าน
ผู้เผยแพร่ พรหมวิหารคลินิก
๒๗ พ.ย. ๒๕๕๖
———————————————————————