ว่านในกลุ่มหงษ์ และกระจาย

ว่านในกลุ่มหงษ์ และกระจาย

ในช่วงฤดูฝนนี้ พอกลางๆฤดูฝนเข้ามาหน่อย ว่านหลายชนิดก็ทยอยกันออกดอก อวดโฉมกันสะพรั่งป่า เป็นช่วงที่ผู้เขียนชอบตระเวนป่ามาก แม้จะดูเฉอะแฉะและเสี่ยงอันตรายจากสัตว์ในป่ารก พวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอบ้าง แต่เป็นช่วงที่ว่านหลายชนิดโตเต็มที่ และว่านหลายชนิดก็ออกดอกกันในช่วงนี้

ช่วงเข้าพรรษา ในราวๆเดือน ก.ค.-ก.ย. จะมีว่านจำพวกหนึ่งที่พากันออกดอกงามสะพรั่งในช่วงนี้ นั่นคือว่านในตระกูลหงษ์ และกระจาย อันเป็นเหตุให้ชาวพื้นเมืองโดยเฉพาะทางจังหวัดสระบุรี เรียกว่าว่านชนิดนี้ว่า “ดอกเข้าพรรษา”  โดยชาวสระบุรี จะเก็บดอกไม้นี้มาถวายพระและสักการะรอยพระพุทธบาท ใน “ประเพณีตักบาตรดอกไม้” อันเป็นประเพณีประจำปีของจังหวัดสระบุรี

ดอกเข้าพรรษาดอกแดง(ม่วงแดง) หรือ ตาเหินแดง
ดอกเข้าพรรษาดอกแดง(ม่วงแดง) หรือ ตาเหินแดง

ถือกันว่าถ้าตักบาตรด้วยดอกเข้าพรรษาจะได้กุศลมาก โดยสีที่ชอบใช้ส่วนใหญ่เป็นสีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์แห่งพระพุทธศาสนา สีเหลือง หมายถึง สีแห่งพระสงฆ์สาวกแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งถ้ามีดอกไม้ทั้งสีขาวและสีเหลือง โดยเฉพาะที่มีสีเหลืองแต้มอยู่ในสีขาวแล้วก็จะยิ่งดี(๑) และมีอีกคติหนึ่งคือ เชื่อว่าถ้าใครออกไปเก็บดอกเข้าพรรษาสีม่วง(ม่วงแดง) มาใส่บาตรได้ ก็จะได้รับบุญกุศลมากกว่าการนำดอกเข้าพรรษาสีอื่นมาใส่บาตร เนื่องจากดอกเข้าพรรษาสีม่วงนั้นหาได้ยากกว่าสีอื่นๆ(๒)

ประเพณีตักบาตรดอกไม้ วัดพระพุทธบาทฯ สระบุรี(๒)
ประเพณีตักบาตรดอกไม้ วัดพระพุทธบาทฯ สระบุรี(๒)

ในตำราเล่มเก่าทั้ง ๑๒ เล่มเท่าที่ผู้เขียนมีนั้น มีกล่าวถึงว่านในกลุ่มหงษ์ หรือกระจาย ดังต่อไปนี้

  1. ตำหรับ กระบิลว่าน : หลวงประพัฒสรรพากร กล่าวถึงว่าน “ว่านกระจายหางดอก ตำราบรรยายว่า ต้นและใบดังเถาผักบุ้งเทศ แต่ไม่มีหัว มีดอกและฝักอย่างผักบุ้งเทศ ว่านชนิดนี้ใช้เมล็ดตําละลายกับเหล้า ให้รับประทานแก้พิษเสือ พิษจระเข้ สุนัขบ้ากัด”(๓)
  2. ตำราดูว่านและพระเครื่องพระบรมธาตุ : ชัยมงคล อุดมทรัพย์ กล่าวถึง ว่านกระจายหางดอก ซ้ำกันสองครั้ง โดยกล่าวในลำดับที่ ๓๕ ว่า “ว่านกระจายหางดอก มีลักษณะต้นใบเถาเหมือนผักบุ้งเทศ เอาใบมันมาตำกับเหล้ารับประทานแก้พิษเขี้ยวงา สุนัขบ้ากัด เสือกัด จระเข้กัด”(๔) และกล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่งในลำดับที่ ๑๑๐ ว่า “มีลักษณะเป็นเถาเหมือนผักบุ้งเทศ ไม่มีหัว มีแต่ดอกและฝัก ใช้เม็ดในละลายกับสุรา แก้พิษเสือกัด พิษจระเข้กัด พิษสุนัขบ้ากัด” (๔)

    ฝอยบรรยายลักษณะว่าน จากหนังสือ ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด โดย พยอม วิไลรัตน์
    ฝอยบรรยายลักษณะว่าน จากหนังสือ ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด โดย พยอม วิไลรัตน์
  3. ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด : พยอม วิไลรัตน์ กล่าวถึง ว่านนางพญาหงษ์ทอง ว่า ลักษณะต้นหัวใบ คล้ายขิง ดอกเป็นพวงสีขาว เหลืองแดง มีกลิ่นหอม ประโยชน์ ปลูกไว้ในบ้านหรือติดตัวไป เป็นเมตตามหานิยมยิ่งนัก เมื่อเวลาจะนำหัวว่านไป ให้เศกด้วยคาถาเสียสามจบก่อน คาถานั้นมีดังนี้ มะอะอุ พุทธะสังฆามิ นะชาลิติ นางหงษ์ หรือตาเหินขาวก็เรียก(๕) และกล่าวถึง ว่านกระจายหางดอก ว่าลักษณะต้นใบ ดอกฝักและเถา มีลักษณะคล้ายผักบุ้งเทศ แต่ไม่มีหัว มีแต่ดอกและฝัก ใช้เมล็ดแก่ขยายพันธุ์ ประโยชน์ ใช้เมล็ดมาตำเป็นผง แล้วละลายกับสุรา แก้พิษจระเข้กัด เสือกัด และหมาบ้าก็หายได้ และแก้พิษอันเกิดจากเขี้ยวงาทุกชนิด ถ้าไม่มีเมล็ดจะใช้ใบก็ได้เหมือนกัน(๕)
  4. ตำราปลูกและดูลักษณะว่าน : อุตะมะ สิริจิตโต กล่าวถึง ว่านกระจายหางดอก(๖) โดยคำ บรรยายสอดคล้องกับตำราต่างๆข้างต้น
    ฝอยบรรยายลักษณะว่าน จากหนังสือ ตำราว่านวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ โดย อาจารย์ชั้น หาวิธี
    ฝอยบรรยายลักษณะว่าน จากหนังสือ ตำราว่านวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ โดย อาจารย์ชั้น หาวิธี
  5. ตำราว่านวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์: อาจารย์ชั้น หาวิธี กล่าวถึง ว่านนางพญาหงส์ทอง ว่า ใบ ต้น หัวคล้ายขิง ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมปลูกไว้กับบ้าน หรือเอาหัวติดตัวไป สารทิศใดก็ดี ย่อมเป็นมงคลและเกิดเมตตามหานิยม ในตัวยิ่งนัก เมื่อเวลาจะใช้ให้เอาหัวว่านนี้มาเสกด้วยคาถา มะอะอุ พุทธสังมิ นาชาลีติ สามจบ แล้วเอาหัวว่านนี้ติดตัวไป จะปรารถนาสิ่งใดก็สำเร็จทุกประการ(๗) และว่านกระจายหางดอก ว่า ต้น ใบ เถา เหมือนผักบุ้ง ไม่มีหัว เอาใบมาผสมกับเหล้า กินแก้สุนัขบ้ากัด เสือกัด ลิงกัด จรเข้กัด ดีนักแล เวลาจะกินๆกับสุรา และตำทาพอกปากแผลด้วยหายดีวิเศษ(๗)
  6. ตำราคุณลักษณะว่าน และ วิธีปลูกว่าน : นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ กล่าวถึง
    1. ว่านกระจายหางดอก ซึ่งได้ระบุชัดเจนลงไปว่าเป็นพืชกลุ่มผักบุ้ง คือ Ipomoea sp.(๘) โดยคำ บรรยายสอดคล้องกับตำราต่างๆข้างต้น
    2. ว่านนางพญาหงษ์ทอง โดยได้ระบุชัดเจนลงไปว่าคือต้น Hedychium coronarium (Koen) (๘)  ซึ่งเป็นต้นที่ปัจจุบันเรียกกันว่า มหาหงส์ หรือสะเลเตนั่นเอง
    3. ว่านมหาหงษ์(๘)  ซึ่งดูจากคำบรรยายแล้ว ต้นปัจจุบันที่ตรงมากที่สุดคือ “มหาหงษ์แดง” นั่นเอง แต่เป็นสายพันธ์ดั้งเดิมที่แรกๆออกดอกแล้วจะมีสีขาวออกแดงเล็กน้อยเมื่อแก่แล้วดอกจะสีแดงเข้มขึ้น(คล้ายๆกับเข้าพรรษาดอกแดงที่แรกเริ่มกลีบเลี้ยงของดอกก็เป็นสีขาวแล้วค่อยๆเข้มแดงขึ้น) โดยปัจจุบันมีสายพันธ์ต่างประเทศเข้ามาในตลาดหลายชนิด โดยจะออกดอกเป็นดอกสีแดงสดตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งหากเอาตำรามาวัดกันจริงๆก็คงไม่อาจจัดว่าพันธ์ใหม่นี้เป็นว่านแท้ตามตำราได้

      คำบรรยาย “ว่านมหาหงษ์” จากตำราคุณลักษณะว่าน และ วิธีปลูกว่าน โดย นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ
      คำบรรยาย “ว่านมหาหงษ์” จากตำราคุณลักษณะว่าน และ วิธีปลูกว่าน โดย นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ
  7. ตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ : ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น กล่าวถึง
    1. ว่านกระจายหางดอก(๙) คำบรรยายสอดคล้องกับตำราข้างต้น
    2. ว่านมหาหงส์ ลักษณะลำต้นใบหัวคล้ายกับข่า ดอกเป็นพวงกลีบขาวมีกลิ่นหอมกว่าว่านทั้งหลาย สรรพคุณปลูกไว้ หรือนำติดตัวไป เป็นเสน่ห์มหานิยมยิ่งนัก(๙)
    3. ว่านหงส์ทอง ลักษณะลำต้น, ใบ, คล้ายข่า แต่ใบเล็กสั้นกว่า ดอกมีสีเหลืองเป็นช่อ ดอกมองดูคล้ายกับตัวหงส์ชะเง้อ หัวเหมือนหญ้าชันกาศ สรรพคุณเป็นว่านเมตตามหานิยม(๙)
    4. ว่านหงส์ขาว ลักษณะลำต้นใบคล้ายข่า แต่ใบเล็กสั้นกว่า ดอกมีสีขาวเป็นช่อ ดอกมองคล้ายกับตัวหงส์ชะเง้อ หัวเหมือนหญ้าชันกาศ สรรพคุณเป็นว่านเมตตา มหานิยม(๙)
      คำบรรยายลักษณะว่าน จาก ตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ โดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น ซึ่งเป็นตำราเล่มแรกที่กล่าวถึง ว่านกลุ่มกระจาย
      คำบรรยายลักษณะว่าน จาก ตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ โดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น ซึ่งเป็นตำราเล่มแรกที่กล่าวถึง ว่านกลุ่มกระจาย
    5. ว่านทองกระจาย ลักษณะลำต้น ใบ เหมือนว่านเพชรกลับ แต่ไม่แดงเหมือนว่านเพชรกลับ ดอกเหลืองเป็นช่อ มีเกสรยาวงอน เมื่อดอกแก่เป็นเม็ดคล้ายเม็ดมะละกอเป็นพวง บางแห่งเรียกว่าว่านพวก คือเอามาโขลกผสมกับดินสอพองไว้เขียนอักขระลงพุทธคุณต่างๆ รากคล้ายกระชายแต่เล็กมาก สรรพคุณเป็นเสน่ห์มหานิยม(๙)
    6. ว่านเงินกระจาย ลักษณะต้น, ใบ เหมือนว่านทองกระจายทุกอย่าง ต่างแต่ว่าดอกขาว มีเมล็ดเหมือนเม็ดข้าวเปลือก สรรพคุณใช้อย่างเดียวกับทองกระจาย(๙)
    7. ว่านนาคกระจาย ลักษณะต้นใบ เหมือนว่านทองกระจาย และว่านเงินกระจาย แต่ว่าต้นและใบเป็นสีลูกหว้าแก่ ดอกเป็นสีชมพู สรรพคุณใช้อย่างเดียวกัน(๙)
    8. ว่านหงส์เหิร ลักษณะลำต้นเหมือนหญ้าหวาย แต่ใบสั้นกว่า หัวเป็นหญ้าชันกาศ ดอกสีเหลืองเข้ม มีเกสรยาวปลายเกสรงอกลับ มองดูคล้ายหงส์บิน กลีบดอกเป็นปีกนก ออกลูกเป็นช่อ เม็ดคล้ายเม็ดข้าวเปลือก สรรพคุณ เป็นว่านมหานิยมเสน่ห์ยิ่งนัก(บางคนเรียกว่า ว่านดอกทอง) (๙)
  8. กบิลว่าน 108 : สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร กล่าวถึง
    1. พระยาหงส์เงิน “…เหมือนกับต้นไพลเหลือง ใบขาวเป็นสีบรอน ต้นขาวนวล ดอกเป็นช่อสีขาว หัวเป็นปุ่ม มีรากคล้ายคุ้ม(นม)กระชาย เป็นว่านที่มีใบสวยงามมาก เป็นเงางามดังเคลือบไว้หรือทาด้วยเงิน…”

      พระยาหงษ์เงิน ตามตำรากบิลว่าน 108 โดย สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร กล่าวว่าว่านนี้หายากมาก
      พระยาหงษ์เงิน ตามตำรากบิลว่าน 108 โดย สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร กล่าวว่าว่านนี้หายากมาก

       

    2. หงส์ทอง “…เหมือนกับว่านหงส์เงิน แต่ต้นสีเขียว ใบเรียว หัวเป็นรากเหมือนกับรากกะชาย ดอกเป็นช่อดังดอกพริกไทย ดอกเหลืองสวยงามมาก…”
    3. มหาหงส์ “…เหมือนกับสาวหลงหรือต้นข่า ใบยาวเขียว เรียวแหลมกว่าข่า หัวคล้ายกับหัวข่า แต่เล็กกว่าหัวข่า ดอกสีขาวหอมเย็น ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะ…”

      กระจายทอง ตามตำรากบิลว่าน 108 โดย สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร
      กระจายทอง ตามตำรากบิลว่าน 108 โดย สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร

       

    4. กระจายทอง (กำแพงเจ็ดชั้น) “…ต้นและใบเหมือนกระชาย แต่ใบกว้างมนกว่ากระชาย หน้าใบเขียวคล้ำ หลังใบอ่อนสีม่วงแดง แก่ขาวนวล หัวดังหัวกระชาย เกาะกันเป็นกลุ่มเหลือง ลายเส้นใบนูนมากและห่างๆกัน…” (ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า ต้นนี้จากคำบรรยายและรูป น่าจะเป็นต้นที่เรียกกันในปัจจุบันว่า ว่านกำบัง  เพราะจากการอ้างอิงเทียบตำราอื่นๆ กำแพงเจ็ดชั้นน่าจะเป็นอีกต้นครับ)

 

จากข้อมูลข้างต้น คุณๆผู้อ่านคงสับสนไม่น้อย เพราะข้อมูลดูจะตรงกันบ้างขัดแย้งกันบ้าง ประกอบกับคำบรรยายอย่างโบราณ เช่น เหมือนหญ้าชันกาศ ช่อดังดอกพริกไทย เหมือนหญ้าหวาย ซึ่งฟังดูก็ยิ่งงงเข้าไปอีก การจะยืนยันให้แน่ก็ลำบากเพราะตำราโบราณไม่มีรูปสีระบุให้ชัดเจน คำบรรยายก็เขียนเอาตามลักษณะที่ผู้เขียนตำราเห็นซึ่งบางทีในสายตาคนอื่นๆอาจจะไม่เห็นเป็นอย่างนั้นก็ได้ อีกทั้งสายพันธ์ว่านแต่ละท้องที่ก็แตกต่างกันตามสภาพแวดล้อม เพื่อให้ชัดเจนผู้เขียนเลยต้องขออนุญาตสรุปจำแนกให้ตามความรู้ที่มีอยู่ โดยอ้างอิงจากตำราเก่าเหล่านี้ ซึ่งบางทีก็อาจจะไม่ตรงกับที่นักเล่นว่านปัจจุบันเล่นกัน ใครจะเชื่อไม่เชื่อยังไงก็ว่าไปตามหลักการ เหตุผล และวิจารณญาณส่วนตัวนะครับ

สรุปตามข้อมูลตำราโบราณข้างต้นว่านในกลุ่มที่เรียกว่ากระจายและหงส์มีด้วยกัน ประมาณ ๑๑ ต้นคือ

หญ้าดอกขน(สาย อ.หล่อเรียก ว่านพระยาผักบุ้ง) ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า ตรงกับว่านกระจายหางดอกมากที่สุด
หญ้าดอกขน(สาย อ.หล่อเรียก ว่านพระยาผักบุ้ง) ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า ตรงกับว่านกระจายหางดอกมากที่สุด

 

  1. ว่านกระจายหางดอก ซึ่งในปัจจุบันได้หายสาบสูญไปจากสาระบบว่านไปแล้ว ต้นจริงยังคงมีอยู่แต่การเรียกชื่อนี้คงเปลี่ยนไปแล้ว เพราะสมัยหนึ่งเรื่องของว่านมีการหวงแหนและบังวิชากันมาก สุดท้ายการบังวิชาบางครั้งแทนที่จะช่วยรักษาความบริสุทธ์ของวิชาเอาไว้ได้กลับกลายเป็นทำให้ข้อมูลวิชาบิดเบือนหรือสูญหายไปได้ สิ่งใดที่เกินพอดีย่อมไม่ดีจริงไหมครับเท่าที่มีข้อมูล อาจเป็นไปได้ว่า ว่านกระจายหางดอกอาจจะเป็นต้นที่ปัจจุบันเรียกกันว่า หญ้าดอกขน Ipomoea triloba โดยลักษณะของพืชต้นนี้คือมีขนที่เปลือกหุ้มเมล็ด และที่ใบโดยเฉพาะใต้ใบมองดูคล้ายขนหาง ส่วนกระจายอาจมาจากคำโบราณว่า “กำจร” ซึ่งหมายถึงผักบุ้ง หรืออาจมาจากการที่ว่านนี้เวลาขึ้นจะขึ้นกระจายไปในพื้นที่บริเวณกว้าง  โดย Ipomoea triloba นี้ก็คือพืชจำพวก มอร์นิ่งกลอรี่สายพันธ์ไทยๆนั่นเอง มีข้อมูลว่าฝรั่งใช้เมล็ดพืชกลุ่มนี้เป็นสมุนไพรด้วย ซึ่งคงต้องสืบหาข้อมูลทางสมุนไพรของพืชตัวนี้กับกับตำรา หรือหมอสมุนไพรพื้นบ้านว่ามีหลักฐานยืนยันว่าใช้ในเชิงรักษาอาการอักเสบติดเชื้อของพวกสัตว์กัดบ้างหรือไม่ต่อไปครับ

    นางพญาหงษ์ทองดอกขาว
    นางพญาหงษ์ทองดอกขาว
  2. ว่านนางพญาหงษ์ทอง คือ สะเลเต หรือ ตาเหิน นั่นเอง สะเลเต จัดว่าเป็นสมุนไพรไม้มงคลที่เก่าแก่ชนิดหนึ่งของกลุ่มชนแถบลุ่มนำโขง ทั้งคนตระกูลไทย ไทยลื้อ ไทยใหญ่ ไทยดำ ไทยแดง อาข่า ต่างนิยมปลูกสะเลเต ไว้เพื่อความเป็นสิริมงคล และเมตตามหานิยม แก่สถานที่ที่ปลูก คนอีสานโบราณนิยมใช้ดอกสะเลเตเป็นสัญลักษณ์ของสาวสวยรวยเสน่ห์ และมีอิสรภาพที่จะรักใครก็ได้ ดังนั้นหญิงแม่ร้างหรือแม่ม่ายจึงนิยมใช้ดอกสะเลเตทัดผม อันมีนัยยะของการเชิญชวนหาคู่ ผู้เฒ่าผู้แก่คนโบราณอีสานมักห้ามไม่ให้สาวรุ่นทัดดอกสะเลเต (๑๑) สะเลเตนี้ว่ากันว่าห้ามหญิงมีประจำเดือนสัมผัสเพราะจะทำให้ดอกเป็นหนอนหรือต้นโทรม คล้ายๆกับความเชื่อเรื่องห้ามหญิงมีประจำเดือนข้ามแปลงหรือเข้าไปเด็ดผักชี จะทำให้ผักชีเหี่ยวเฉาได้ เรื่องนี้เห็นว่าลองกันหลายคนแล้วก็ให้ผลตามนั้น นับว่าเป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกันครับ

    นางพญาหงส์ทองดอกเหลือง ซึ่งมีระบุใน ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด โดย พยอม วิไลรัตน์
    นางพญาหงส์ทองดอกเหลือง ซึ่งมีระบุใน ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด โดย พยอม วิไลรัตน์

    ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าจริงๆแล้วนางพญาหงษ์ทองนี้ที่ตรงที่สุดน่าจะเป็นพันธ์ที่ดอกสีออกเหลือง จากคำเรียกที่ว่า “ทอง” ส่วนคำที่ว่า “นางพญา” ที่แปลว่า “ผู้เป็นใหญ่” นั้นเป็นเครื่องยืนยันว่ากลีบดอกที่ใหญ่เป็นช่อขนาดใหญ่และมีกลิ่นหอม เป็นจุดตัดที่ใช้แยกระหว่าง ดอกเข้าพรรษากับสะเลเต โดยดอกเข้าพรรษาควรจะเรียกเพียงว่าหงส์ทอง ไม่มีคำว่านางพญานำหน้าเพราะดอกขนาดเล็กกว่าและไม่มีกลิ่นหอม

     

    ว่านมหาหงษ์ มหาแห่งหงส์ทั้งปวง ดอกแต้มเหลือบแดงส้มๆชมพูๆ
    ว่านมหาหงษ์ มหาแห่งหงส์ทั้งปวง ดอกแต้มเหลือบแดงส้มๆชมพูๆ
  3. ว่านมหาหงษ์ คือสะเลเตชนิดดอกแดง แต่ต้องเป็นสายพันธ์ที่เมื่อแรกออกดอก ดอกจะขาวออกส้มๆ ชมพูๆ นิดๆ เมื่อดอกแก่แล้วจะเป็นสีแดงเข้มขึ้น เป็นพันธ์โบราณดั้งเดิมในแถบสุวรรณภูมินี้ ไม่ใช่แบบแดงจัดเหมือนอย่างยุคหลังซึ่งเป็นไม้ต่างประเทศ หากกล่าวถึงชื่อ “มหาหงส์” ในวงการต้นไม้ทั่วไปจะเป็นที่ยอมรับกันว่าคือสะเลเตดอกขาว แต่ในวงการว่านตั้งแต่โบราณระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า คือ ว่านนางพญาหงษ์ทอง ทำให้เห็นว่าองค์ความรู้หนึ่งๆ หากไม่มีการจดบันทึกให้ชัดเจน ไม่มีการชำระสะสางกันให้ดีแล้ว มันจะมีความคลาดเคลื่อนไปเรื่อยๆ ไม่มากก็น้อย เหตุนี้เองผู้เขียนจึงปราวณาตัวทำงานชำระตำราว่าด้วยว่านนี้ให้มีข้อสรุป มีข้อสังเกต มีข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนขึ้นมา เพื่อไม่ให้วิชาว่านนี้สูญหายหรือบิดเบือนไปตามกาลเวลา

    ว่านหงส์ทอง หรือดอกเข้าพรรษาพันธ์ดอกสีเหลืองเป็นช่อ ดังรูป
    ว่านหงส์ทอง หรือดอกเข้าพรรษาพันธ์ดอกสีเหลืองเป็นช่อ ดังรูป
  4. ว่านหงส์ทอง คือต้นที่เรียกกันว่า “ดอกเข้าพรรษา” นั่นเอง พืชกลุ่มนี้ คือพืชกลุ่ม Globba ในเมืองไทยและแถบเอเชียอาคเนย์นี้มีหลากหลายสายพันธ์มาก รูปที่เห็นนี้เป็นสายพันธ์ทางใต้ ดอกจะเป็นช่อพวงขนาดใหญ่กว่าทางแถวสระบุรี

    ว่านหงส์ขาว
    ว่านหงส์ขาว
  5. ว่านหงส์ขาว ต้นนี้คือ เข้าพรรษาดอกขาว ซึ่งปัจจุบันมักเรียกกันว่า “หงส์เงิน” มีลักษณะเด่นคือกลีบเลี้ยงของดอกจะเป็นสีขาวดังรูป

    ว่านพระยาหงส์เงิน ตามตำราของ สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร
    ว่านพระยาหงส์เงิน ตามตำราของ สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร
  6. ว่านพระยาหงส์เงิน ต้นนี้ ในตำราของ สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร กล่าวถึง ลักษณะเด่นคือ “ใบขาวเป็นสีบรอน ต้นขาวนวล ดอกเป็นช่อสีขาว” “ใบสวยงามมาก เป็นเงางามดังเคลือบไว้หรือทาด้วยเงิน” ต้นนี้หาดูได้ยากจริงดังตำราว่า เพราะส่วนมากที่เจอ จะเจอแต่ชนิดใบสีเงินแต่ดอกเป็นสีเหลืองครับ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงมีชื่อว่า “พระยา+หงส์เงิน”

    ว่านทองกระจาย
    ว่านทองกระจาย

     

  7. ว่านทองกระจาย ลักษณะเด่นของว่านกลุ่ม ทอง-เงิน-นาคกระจาย นี้ คือดอกมีลักษณะเหมือนตัวหงส์บินซึ่งเป็นลักษณะเด่นของพืชกลุ่ม Globba sp.จุดแตกต่างที่ต่างจาก “หงส์…” คือช่อดอกที่เล็กและกระจายออกจากก้านดอก สีของกลีบเลี้ยงหรือก้านดอกที่แตกต่างกันเป็นตัวแยกแยะชื่อว่าน หากเป็นสีขาวเรียกเงินกระจาย สีเขียวซึ่งขับให้สีเหลืองของดอกดูเด่นชัดกว่าเรียกทองกระจาย สีแดงหรือม่วงเรียกนาคกระจาย

    ว่านเงินกระจาย
    ว่านเงินกระจาย

     

  8. ว่านเงินกระจาย คือต้น Globba tricolor มีหลายสายพันธ์ด้วยกัน เช่น บางต้นใบมีขน บางต้นใบเรียบ บางต้นใบกว้าง แต่จุดเด่นร่วมกัน คือกลีบเลี้ยงของดอกเป็นสีขาว ช่อดอกกระจายออกจากก้านดอก

    ว่านนาคกระจาย
    ว่านนาคกระจาย
  9. ว่านนาคกระจาย จุดตัดให้ดูที่กลีบเลี้ยง กลีบเลี้ยงจะเล็กหรือไม่มีกลีบเลี้ยงดอก ก้านดอกออกสีม่วง ดอกจะกระจายออกจากช่อ แต่ถ้าเป็นชนิดที่กลีบเลี้ยงดอกมีสีแดงขนาดใหญ่ปัจจุบันจะเรียก ตาเหินแดง หรือ เข้าพรรษาดอกแดง (เข้าพรรษาดอกแดงไม่พบว่าระบุไว้ในตำราว่านรุ่นเก่า แต่ตำราว่านยุคใหม่บางเล่มมีกล่าวถึงและเรียกว่า ว่านตาเหินแดง)

    ช่อดอกของว่านหงส์เหิร กลีบเลี้ยงดอกสีแดงม่วงเข้มมาก
    ช่อดอกของว่านหงส์เหิร กลีบเลี้ยงดอกสีแดงม่วงเข้มมาก
  10. ว่านหงส์เหิร จุดตัดของว่านต้นนี้คือกลีบดอกสีแดงเข้ม ลำต้นเหมือนหญ้าหวาย แต่ใบสั้นกว่า พบมากทางแถบอีสาน ต้นจะเล็กใบจะเล็กสั้น เวลายังไม่ออกดอกมองผิวเผินเหมือนกับต้นหญ้าดีๆนี่เอง ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะ มักขึ้นปะปนกับกอหญ้าและเวลาขึ้นตามธรรมชาติจะขึ้นอยู่กันเป็นดง

    ลำต้นของว่านหงส์เหิร ลำต้นเหมือนหญ้าหวาย ชอบขึ้นในดงหญ้าที่ชื้นแฉะ
    ลำต้นของว่านหงส์เหิร ลำต้นเหมือนหญ้าหวาย ชอบขึ้นในดงหญ้าที่ชื้นแฉะ
  11. ว่านกระจายทอง (กำแพงเจ็ดชั้น) ตัวนี้ผู้เขียนเองก็งงๆเหมือนกันว่า เรียกกระจายทองได้อย่างไร เนื่องจากหาความสอดพ้องใดๆไม่ออกจริงๆว่าเกี่ยวข้องอะไรกับ คำว่า “กระจาย” และคำว่า “ทอง” ทั้งสรรพคุณก็ไปในทางป้องกัน คำบรรยายลักษณะและรูปก็ไปสอดคล้องกับ “ว่านกำบัง” เสียมากกว่า กำแพงเจ็ดชั้นน่าจะเป็นอีกตัวมากกว่าครับ

    ว่านกำบัง ที่ผู้เขียนสันนิษฐานว่า คือ ว่านกระจายทอง ตามตำราของสมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร
    ว่านกำบัง ที่ผู้เขียนสันนิษฐานว่า คือ ว่านกระจายทอง ตามตำราของสมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร

ว่านกระจายในทางไสยศาสตร์

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอแถมอีกสักหน่อย เกี่ยวกับว่านกระจาย ที่ไม่ได้กล่าวไว้ในตำรับกบิลว่าน จะเรียกว่าว่านนอกกบิลว่านก็ไม่ผิด คือว่านกลุ่มกระจายที่มีตำนานในทางไสยศาสตร์ ที่เรียกว่าตำนานก็เพราะเป็นว่านที่จับต้องจริงๆหรือหาหลักฐานยืนยันแน่นอนไม่ได้ มีแต่เขาเล่าเขาลือกันอย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้น จนบางครั้งไม่สามารถเชื่อแหล่งข้อมูลใดๆได้เลยเพราะเอาเข้าจริง ๆ จับข้อมูลหลายๆแหล่งมายำกันเข้า ก็ไม่ใคร่จะตรงกันเสียเลย จึงเอาข้อมูลที่สังเคราะห์แล้วมาลงไว้ ให้อ่านกันสนุกๆพอหอมปากหอมคอครับ

ว่านกระจายในทางไสยศาสตร์นั้นจัดเป็นว่านอาถรรพ์อันตราย เหมือนกับพวกว่านเป้า หรือพวกว่านโพลง มีอยู่ด้วยกันหลายชื่อหลายคติที่มาด้วยกัน ได้แก่

  • ว่านกระจายดิบ จะอยู่กันเป็นดงว่าน โดยระยะบริเวณนั้นจะไม่มีสิ่งมีชีวิตไปอยู่ใกล้ได้ เพราะมันจะกิน เหมือนว่านโพรงที่เขียดเข้าไปใกล้ๆมันจะจับกินหมด แม้แต่นกบินผ่านก็ตกลงมา ดังนั้นวิธีเดียวที่จะเอามันมาได้คือต้องมีว่านกระจายดิบที่เป็นแม่ของมัน คนจึงสามารถเข้าไปเอาได้โดยไม่ได้รับอันตรายจากว่านกระจายดิบ(๑๒) หรือต้องปล่อยให้ต้นมันโทรมลงหัวในฤดูแล้งก่อนจึงค่อยไปกู้เอามา การกู้เก็บก็ต้องมีวิธีหรือคาถากำกับเฉพาะ
  • ว่านกระจายใหญ่ (๑๓)
  • ว่านกระจายหัวคน (๑๓) เป็นพืชกลุ่มหัวแบบหัวเผือกหัวบอน รูปร่างหัวเหมือนหัวคน แบบหัวคนป่าที่มีผมปกใบหน้า หัวโตขนาด

หัวเด็ก) ใบจะคล้ายใบว่านพญาจงอาง ขอบใบหยิก เมื่อเจริญเติบโตแล้ว จะมีหน่องอกขึ้นด้านบนของต้นเดิม และจะกินต้นเดิมเป็นอาหารเรียกการเติบโตแบบนี้ว่า “ลูกกินแม่”

  • ว่านกระจายหัวลิง(๑๓) หัวเหมือนหัวลิง ขนาดหัวเท่ากำปั้น ลักษณะคล้ายกระจายหัวคน แต่หัวเล็กกว่าและหัวเหมือนหัวลิง
  • ว่านกระจายกล้วยญวน(๑๓)
  • ว่านกระจายหัวสับปะรด(๑๓) หรือกระจายหมากนัด
  • ว่านกระจายเครือ(๑๔)
  • ว่านกระจายโพง(๑๖)
  • ว่านกระจายหัวควาย ว่านชนิดนี้ ทางประเทศลาว เรียกว่า กระจายหัวควาย ทางประเทศไทยเราเรียกว่า พญาว่าน ลักษณะหัวลำต้นและใบคล้ายต้นกล้วยญวน แต่มีใบเพียงสามใบเท่านั้น ก่อนที่จะไปเอาต้องบวงสรวงสังเวยก่อนจึงจะเข้าไปเอาได้ หากยังมิได้บวงสรวงสังเวย เข้าไปเอามีอันตรายถึงกับเสียชีวิต ว่านนี้ตามตำรามีเทวดารักษา วิเศษใช้ได้ทุกทาง(๑๗)

ว่านกระจายนี้บางทีก็อาจจะเป็นตัวเดียวกับ “ว่านโพลง” นี่เอง ด้วยเพราะคุณสมบัติ และเทคนิคการเลี้ยง กล่าวถึงคล้ายคลึงกันมาก อาจเป็นเพราะเรียกกันคนละอย่างตามภาษาท้องถิ่นเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่ความชัดเจนของว่านกลุ่มนี้แทบจับต้องอะไรไม่ได้เลย ในตอนนี้ จึงไม่สามารถพิสูจน์ข้อมูลอะไรได้เพียงแต่ได้ตั้งข้อสังเกตไว้เท่านั้น

ว่านกระจายนี้เมื่อยังไม่ได้ขุดขึ้นมาจากพื้นดิน  เมื่อโยนกบหรือเขียดเข้าไปในกอว่านนั้น กบเขียดจะตายทันที เพราะมันถูกว่านนั้นดูดกินเลือดจนหมด บางทีก็ว่ามันดูดกินคาวเมือกของกบเขียดคล้ายๆกับพวกผีโพลงอย่างนั้น

ส่วนมากคนเลี้ยงว่านนี้จะเลี้ยงเพื่อนำหัวว่านมาเป็นยาสักเพราะจะทำให้คนที่สักด้วยว่านกระจายนี้เหนียวคงอย่างมาก เรียกว่าคงแก่กล้ากว่าว่านใดๆเลยทีเดียว ผู้ถูกสักด้วยว่านนี้ น้ำว่านจะซึมซับเข้าไปในเลือดในเนื้อ ยากที่จะลบออกได้ จะติดตัวผู้นั้นตลอดไปจนตายจากกัน

ผู้ถูกสักจะต้องถือ “คะลำ” คือข้องดเว้นจากสิ่งต้องห้ามตามหลักสายวิชาอย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามกินลาบเลือดหรือลู่ หรือห้ามกินกบเขียด ถ้าละเมิดก็จะกลายเป็นผีปอบไปทันที ผีปอบนั้น เข้าตัวจะควบคุมไม่อยู่ มันอยากกินใครมันก็ไปกิน หรือบางทีเพียงแต่เจ้าของคิดหรือนึกถึงใครเท่านั้น ถ้าคนนั้นถึงคราวเปิดถึงคราวซวยหรือจิตอ่อน ผีปอบนั้นก็จะไปกิน หรือไปสิงคนๆนั้น แล้วบอกว่า คิดถึงมาเยี่ยม อย่างนี้เป็นต้น

บางข้อมูล กล่าวถึงวิธีเอาว่านอย่างหนึ่งคือต้องเอาสัตว์มาล่อให้ว่านกิน โดยไล่จากสัตว์ใหญ่พวกเป็ดไก่ แล้วค่อยๆเอาสัตว์ตัวเล็กลงไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเอากบเอาเขียดให้มันกิน เมื่อมันไม่กินเพราะมันอิ่มแล้ว เขาจะเข้าไปขุดเอาว่านชนิดนี้(๑๕) (ถ้าว่านมันโหดอย่างนี้ผมว่าอย่าไปเอามันให้เป็นอัปมงคลเลย เผาทำลายมันเลยดีกว่า ของดี ที่แรงๆกว่านี้ในโลกนี้ยังมีอีกมาก)

มีผู้รู้บางท่านอธิบายถึงว่านกระจายกลุ่มนี้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์ว่า ว่านกระจายเป็นว่านพิษ โดย เป็นพืชที่สะสมฟอสฟอรัส ไว้จำนวนมาก ในวันที่มีฝนตกใหม่ๆ มีความชื้น และการกดทับของมวลอากาศสูง ว่านเหล่านี้ จะปล่อยฟอสฟอรัสออกมา เป็นลูกไฟโตเท่าจานข้าว มีสีคล้ายไข่แดง ไม่มีรัศมี ลอยอยู่ระดับยอดไม้ ประมาณ สองเมตรขึ้นไป เมื่อมีรถยนต์แล่นไปใกล้

แรงลมจากรถตามหลักอากาศวิภาค จะดึงเอาลูกไฟนี้ ตามไปด้วย ทำให้ดูเหมือนลูกไฟนี้ไล่ตามรถยนต์คนขวัญอ่อนจะตกใจ  และเนื่องจากฟอสฟอรัส จัดเป็นแก๊สพิษ การสูดดมเข้าไปจำนวนมากๆ อาจทำให้ถึงสลบ หายใจ ไม่ออก  หน้ามืด โดยเฉพาะคนที่มีโรคหัวใจ เมื่อเข้าใกล้บริเวณที่ว่านชนิดนี้อยู่ จะหายใจไม่ออก มือไม้สั่น คล้ายจะเป็นลม อาจทำให้เสียชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้จึงมักเห็นซากกบ เขียด นอนตายเหยียดขารอบๆ ต้นว่านดังกล่าวนี้เสมอๆ(๑๓)

จากข้อมูลของว่านกระจายทางไสยศาสตร์ข้างต้น ดังนั้นเพื่อให้เกิดการแยกแยะได้อย่างชัดเจน ชื่อว่านในยุคหลังที่เป็นกลุ่ม Globba sp. ที่ถูกต้องแล้วจึงควรจะเรียกว่า “….กระจาย” เช่น ทองกระจาย เงินกระจาย นาคกระจาย มากว่าที่จะเรียกว่า “กระจาย…” เช่น กระจายเงิน กระจายทอง กระจายนาค เป็นต้น เพราะอาจไปทำให้สับสนกับกลุ่มว่านอาถรรพ์เหล่านี้ได้ เรื่องนี้ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตและเป็นการวิเคราะห์ส่วนตัวไว้ ส่วนใครจะยอมรับหรือไม่ก็ไม่ว่ากันครับ

เรียบเรียงโดย อรรถวัติ กบิลว่าน

ผู้เผยแพร่ หมอก็อต คลินิกแพทย์แผนไทย ลำพูน (โฮงยาพรมธวิหารฐ์)

๓๑ ก.ค. ๒๕๕๔ ๑๒ ก.ย. ๒๕๕๔
——————————————————-

  1. สืบสานประเพณี “ตักบาตรดอกไม้” หนึ่งเดียวในโลกที่สระบุรี http://www.matichon.co.th/matichon/
  2. “ตักบาตรดอกไม้” วันเข้าพรรษา ประเพณีทรงคุณค่า ศรัทธาแห่งชาวพุทธ http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000085108
  3. “ตำหรับ กระบิลว่าน” โดย หลวงประพัฒสรรพากร
  4. “ตำราดูว่านและพระเครื่องพระบรมธาตุ” โดย ชัยมงคล อุดมทรัพย์
  5. “ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด” โดย พยอม วิไลรัตน์
  6. “ตำราปลูกและดูลักษณะว่าน” โดย อุตะมะ สิริจิตโต
  7. “ตำราว่านวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์” โดย อาจารย์ชั้น หาวิธี
  8. “ตำราคุณลักษณะว่าน และ วิธีปลูกว่าน” โดย นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ
  9. “ตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์” โดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น
  10. “กบิลว่าน ๑๐๘” โดย สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร
  11. สะเลเต.มหาหงษ์(สมุนไพร) http://www.thaigoodview.com/node/77165
  12. วิชาทางอีสานที่ยังมีอยู่จริง*หมัดหนักหมื่น* http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=kathaarkom&topic=6359&page=3
  13. อยากทราบถึงพระปิตตารุ่นแรกของหลวงพอเจริญ ฐานยุตโตhttp://www.gingamegun.com/forum/index.php?topic=3378.
  14. แมนแดรก พืชพันธุ์แห่งมายิก http://www.ounamilit.com/b26_magic.htm
  15. ผีปอบมีจริงหรือไม่ ? http://happy.teenee.com/xfile/ghostexp/251.html
  16. ประวัติและปฏิปทา พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร http://www.fungdham.com/monk-history/history-singtong.html
  17. ประวัติการสร้าง พระเสด็จกลับ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล พ.ศ. 2506 http://www.kohtaotoday.com/monk/html