พรหมมิยอดยาบำรุงสมองลองแล้วจึงแนะนำ
๐ มีความลับจะบอกครับ เนื่องจากเรียน ป.โทตอนแก่แล้ว ก่อนหน้านี้เนื่องจาก
“สมองมีน้อย จึงใช้สอยอย่างประหยัด มาตลอด… ^^ ”
สุดท้ายมันก็ทนต่อสังขารไม่ได้ ตอนเรียน ป.โทเมื่อสาม-สี่ปีก่อนลำบากมาก สมองมันเชื่องช้าจำอะไรได้ยาก… ก็ได้อาศัยยาที่ อาจารย์ advisor นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ได้พัฒนาจนมีการผลิตขายโดยองค์การเภสัชกรรม (GPO) เอ่ยนามครับ ท่านเก่งจริงตัวจริง รศ.ดร.กรกนก อิงคนินันท์ (อาจารย์แม่)
๐ แรกๆซื้อกินครับ หลังๆ ตังหมด ตามประสา นักศึกษา ป.โทเบี้ยน้อยหอยน้อย เลยปลูกและทานกินเอง เลยได้สูตรประหยัดมา
๐ วิธีทำคือใช้ยอดราวคืบหนึ่งทั้งใบทั้งก้านหั่นตากแดด บดด้วยเครื่องปั่นน้ำผลไม้จนเป็นผง ปั้นผสมน้ำผึ้งทานขนาดเม็ดลูกประคำ
ทานเช้า ๖ เม็ด เย็น ๕ เม็ด (กลางคืนใช้สมองน้อยก็กินน้อย)
จะทำให้ทำงานทนทานได้ดึกๆดื่นๆบางคืนยันเช้า… แถมยังอึดทน ตื่นแต่เช้าได้อีก พระเจ้า !!…==> พอร่างกายอยู่ตัวหรือคนธาตุอ่อนอย่างผมก็จะ ลดเหลือ เช้า ๒ เม็ด เย็นงด ก็พอแล้ว สรรพคุณคือ จะทำให้ทำงานทนทานได้ดึกๆดื่นๆบางคืนยันเช้า… แถมยังอึดทน ตื่นแต่เช้าได้อีก พระเจ้า !!… (ที่งดตอนเย็นเพราะบางคนกินแล้ว สมองจะแล่นคิดตลอด คิดยันฝัน.. จนทำให้นอนไม่หลับ…)
๐ ของดีจริง ไรจริง ทุกวันนี้ยังทานครับ….อ้อ ยานี้แปลก ปรับตามธาตุคนกิน บางคนกินแล้วหลับดีหลับนาน บางคนกินแล้วหลับลึกและตื่นเร็ว(แบบผม) ที่ตื่นเร็วเพราะ พอร่างกายโดยเฉพาะสมองมันพักพอแล้วมันจะ “ฝัน” ครับ สัญญาณว่าสมองทำงานแล้ว ร่างกายยังไม่ขยับมันเลยฝันแทน แต่มันจะเป็นฝันแบบ “เรารู้ว่าฝัน” สุดท้าย ทนไม่ได้เลยตื่นเอง…
ปล.๑ เรื่องการปรุงยาทานเองเป็นศาสตร์และศิลป์ ไม่มั่นใจ ไม่เจ๋งจริง ใจไม่ถึง อย่าลงมือครับ ผมแนะเป็นไอเดียเผื่อมีคนมาเล่าจะได้คุยกันต่อติดง่ายๆ
๐ พรหมมิเรียกอีกอย่างว่าผักมิ เขาเอาไว้กินแทนผัก แม้ว่ามีการทดลองความเป็นพิษในระยะยาวแล้วยืนยันว่าปลอดภัย ก็ระวังไว้ก็ดี ผมเป็นหมอยาดูแลตัวเองได้ ผมเลยทำกินเองได้…ถ้าอยากลองก็ซื้อ ของ GPO นะครับ เจ้าอื่นไม่แนะนำเพราะเคยเอามาวิจัยแล้วบางเจ้าตัวยาสำคัญไม่ถึง…
ปล. อ.แม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ครับ ส่วนผมเป็นนักวิทยาศาสตร์+นักไสยศาสสตร์ด้วยไม่ยอมน้อยหน้าชอบรู้กว้างไม่เอารู้แคบ… ตะกรุดกับเหรียญสายในดงเอาไว้เสริมกันดีนักแล คริคริ…. ^^
ปล.๒ ผมเรียกยานี้ว่า “พรหมมิ” มีนัยยะคือ ยาของ “พรหม” เป็นนัยยะการให้เกียรติยาดี หลักการคล้ายการยกสมุนไพรชั้นยอด ให้เป็น “ว่าน หรือ หว้าน หรือบางสำนวนทางเรียก ปู่เจ้า” แต่โดยราชการเรียก “พรมมิ” ครับ จริงๆชื่อทางอินเดียเขาคือ brahmi ซึ่งอาจมีรากศัพย์มาจาก brahmin ที่แปลว่า พราหมณ์ ครับ
ปล.๓ ช่วงขาดยาจะรู้สึกเลย เหมือนคนที่เคยกินกาแฟแล้วไม่ได้กิน คือความเคยชินที่รู้สึกสดชื่น สมองแล่น มันหายไป… จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า ยามีผลจริง
อรรถ บ้านสวนสุขสบาย
๒๕ พ.ค. ๖๔