ว่านที่เรียกว่าแร้ง

ว่านที่เรียกว่าแร้ง

ช่วงนี้ผู้เขียนได้ดูละครแนวจักรๆวงศ์ๆ ของเทพนิยายวัดเกาะเรื่องพิกุลทอง ในเนื้อเรื่องกล่าวถึงพญาแร้ง ที่คอยตามจองล้างจองผลาญเจ้าหญิงพิกุลทอง นางเอกของเรื่อง ประกอบกับเมื่อวันที่ ๑ กันยายน เป็นวันระลึกถึงการจากไปของคุณ สืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษผู้พิทักษ์ผืนป่า อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

ว่านแร้งคอดำ : คอต้นยกสูงจากพื้น ใบยาวกางออกดั่งแร้งกางปีก
ว่านแร้งคอดำ : คอต้นยกสูงจากพื้น ใบยาวกางออกดั่งแร้งกางปีก

ซึ่งครั้งหนึ่งผู้เขียนได้เคยเข้าไปทำงานในเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างจริงจัง ในฐานะประธานชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัย และเมื่อวันสองวันที่ผ่านมาที่บ้านพี่ชายได้กู้ว่านแร้งคอดำจำนวนมาก เพื่อเอาพื้นที่ไปปลูกพืชชนิดอื่น ผู้เขียนจึงได้ตกลงใจเขียนเรื่องเกี่ยวกับว่านที่เรียกว่า “แร้ง” นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงคุณสืบ นาคะเสถียร ครูต้นแบบหรือวีระบุรุษคนหนึ่งของผู้เขียนครับ

แร้ง หรือ อีแร้ง เป็นนกขนาดใหญ่ อยู่ในกลุ่มนกล่าเหยื่อเช่นเดียวกับเหยี่ยว, อินทรี หรือนกเค้าแมว โดยที่แร้งถือว่าเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้

โดยแร้ง จะแตกต่างจากไปนกในกลุ่มนี้คือ จะไม่ล่าเหยื่อหรือกินสัตว์เป็น ๆ เป็นอาหาร แต่จะกินเฉพาะซากสัตว์ที่ตายแล้ว อันเนื่องจากอุ้งเท้าของแร้งนั้นไม่แข็งแรงพอที่จะขย้ำเหยื่อได้ แร้งมีรูปร่างโดยรวมคือ ปีกกว้าง หางสั้น มีคอที่ยาว หัวเล็ก บริเวณต้นคอมีขนสีขาวรอบเหมือนสวมพวงมาลัย มีลักษณะเด่นคือ ขนที่หัวและลำคอแทบไม่มีเลยจนดูเหมือนโล้นเลี่ยน สันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะพฤติกรรมการกินซากสัตว์ จึงไม่มีขนเพื่อไม่ให้เป็นที่สะสมของเชื้อโรค และเพื่อความสะดวกในการในการมุดกินซากด้วย

แร้งกระพือปีก(๓) : ภาพนี้มองดูคล้ายว่านแร้งคอดำไม่ผิดจริงๆ
แร้งกระพือปีก(๓) : ภาพนี้มองดูคล้ายว่านแร้งคอดำไม่ผิดจริงๆ

ในประเทศไทยเคยพบแร้งทั้งหมด ๕ ชนิด โดยแบ่งเป็นแร้งอพยพ ๒ ชนิด คือ แร้งดำหิมาลัย (Aegypius monachus) และ แร้งสีน้ำตาลหิมาลัย (Gyps himalayensis) แร้งประจำถิ่น ๓ ชนิด คือ พญาแร้ง (Sarcogyps calvus), แร้งสีนํ้าตาล (Gyps indicus) และแร้งเทาหลังขาว (G. bengalensis) ซึ่งทุกชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองทั้งหมด(๑)

แร้งในความเชื่อของมนุษย์ แทบทุกวัฒนธรรมจะถือว่าเป็นนกที่อัปมงคล เพียงเพราะพฤติกรรมที่กินซากศพและรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดน่ากลัว (ตัดสินอะไรง่ายไปไหม?ผมเองคิดว่าแร้งไม่ใช่ตัวซวย หรือนำมาซึ่งความอับโชค ปัจจุบันถ้าพบแร้งถือว่าโชคดียิ่งกว่าถูกหวยเสียอีกเพราะมันหายากมาก อีกอย่างผมว่าแร้งเป็นสัตว์ใจสูง ไม่พรากชีวิตสัตว์อื่น ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น ถ้าไม่จำเป็น)

ในความเชื่อของคนไทย แร้งเป็นนกที่นำมาซึ่งความอัปมงคลเช่นเดียวกับนกแสก เมื่อสมัยอดีต ประเพณีการปลงศพในบางพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญหรือในบางวัฒนธรรม บางครั้งจะทิ้งซากศพไว้กลางแจ้ง มักจะมีแร้งมาเกาะคอยรอกินศพอยู่บริเวณรอบ ๆ นั้นเสมอ ๆ และเมื่อครั้งที่เกิดอหิวาตกโรคระบาดอย่างร้ายแรง

ในปีพุทธศักราช ๒๓๖๓ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ ๒ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในพระนคร การเผาศพทำไม่ทัน จนต้องมีศพกองสุมกันที่วัดสระเกศ มีฝูงแร้งลงมาจิกกินเป็นที่น่าสังเวชแก่ผู้พบเห็น จนมีคำกล่าวว่า “แร้งวัดสระเกศ” คู่กับ “เปรตวัดสุทัศน์”(๑)

และชื่อของอำเภอแก่งคอย อำเภอหนึ่งในจังหวัดสระบุรี อันเป็นปากทางเข้าสู่ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่หรือ “ดงพญาไฟ” ในอดีต ก็เคยมีชื่อเรียกว่า “แร้งคอย” อันเนื่องมาจากการที่ผู้คนที่สัญจรเข้าไปในป่าแห่งนี้ มักจะตายลงด้วยไข้ป่า จนแร้งต้องมาคอยกินซากศพ จึงเป็นที่มาของชื่ออำเภอ(๑)

แต่ในบางวัฒนธรรม แร้งก็มีความหมายที่แตกต่างออกไป เช่น ในสมัยอียิปต์โบราณ อักษรเฮียโรกริฟฟิกที่เป็นอักษรภาพตัวหนึ่ง คือ

เฮียโรกริฟฟิก
เฮียโรกริฟฟิก

หมายถึง “แม่” ก็นำมาจากแร้งอียิปต์ (Neophron percnopterus) ซึ่งเป็นแร้งชนิดหนึ่งในวงศ์แร้งโลกเก่า(ทำรังและวางไข่บนต้นไม้ ส่วนแร้งโลกใหม่วางไข่บนพื้นดิน) ที่พบได้ในประเทศอียิปต์และแอฟริกาตอนเหนือ(๑)

ปัจจุบัน แร้งแทบทุกชนิดตกอยู่ในสภาพหายาก และใกล้สูญพันธุ์หรือสูญพันธ์ไปแล้วจากป่าในประเทศไทย อย่างกรณี “พญาแร้ง” ที่สูญไปแล้วจากป่าในประเทศไทย(๑) โดยพบพญาแร้งฝูงสุดท้ายของประเทศไทยที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี เมื่อราวๆ ๒๐ ปีก่อน โดยพบว่าถูกยาเบื่อจากการกินซากเก้งที่พรานต้องการเบื่อเสือโคร่งเพื่อเอาหนังเสือ  ซึ่งพญาแร้งลงกินซากเก้งที่ปนเปื้อนพิษจนตายเกือบยกฝูง(๒)

(นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าตายยกฝูง เนื่องจากหลังจากนั้นเราไม่พบพญาแร้งที่เป็นแร้งประจำถิ่นของประเทศไทยในแถบนั้นอีกเลย แม้มีรายงานการพบบ้างก็เป็นนกที่อพยพมาจากที่อื่น)

พญาแร้ง (Red-headed Vulture)
พญาแร้ง (Red-headed Vulture)

พญาแร้ง เป็นแร้งชนิดใหญ่ขนาดลำตัวยาวถึง ๘๔ เซนติเมตร  หนักประมาณ 3.7-5.4 กิโลกรัมขนทั่วตัวสีดำ ส่วนหัว คอ และแข้งเป็นเนื้อสีแดง และยังมีแถบสีขาวตรงส่วนบนของอกและที่ต้นขาทั้งคู่ ที่คอมีสีขาวขึ้นโดยรอบมองดูคล้ายสวมพวงมาลัย นกอายุน้อยขนทั่วตัวสีน้ำตาล ใต้ท้องสีอ่อนกว่าและมีลักษณะเป็นลายเกล็ด ส่วนบนของหัวมีขนอุยสีขาวทั่วไป

แร้งชนิดนี้ไม่ค่อยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงดังเช่นแร้งชนิดอื่นๆ มักพบอยู่โดดเดี่ยวหรือเป็นคู่ พบลงกินซากสัตว์ร่วมกับแร้งชนิดอื่นๆ มีความเชื่อกันว่า แร้งชนิดนี้มีลักษณะเป็นเจ้าแห่งแร้ง จะต้องลงกินซากสัตว์ก่อนแร้งชนิดอื่น และเลือกกินเฉพาะส่วนที่มีรสชาติดีที่สุด(๔,๕)

การตั้งชื่อว่านกลุ่มแร้งนี้ โบราณท่านคงตั้งเอาจากลักษณะที่ต้นว่านมองดูคล้ายแร้งกางปีกนั่นเอง เพราะลักษณะเหมือนกันมากทีเดียว นี่เป็นข้อสังเกตหนึ่งของว่านแท้โบราณคือ ตั้งชื่อตามลักษณะกายภาพที่มองดูคล้ายกับสิ่งบางอย่างรอบตัว

ว่านที่เรียกกันว่าแร้งมีบันทึกในกบิลว่าน ๑๒ เล่ม ได้แก่

๑. “ตำหรับ กระบิลว่าน” โดย หลวงประพัฒสรรพากร ได้กล่าวถึง “ว่านพระยาแร้งแค้น” ต้นเหมือนต้นผักกาดน้ำแต่เล็กกว่า ใบจักๆละเอียดกว่าใบผักกาดน้ำ คลีบใบและก้านแดง ท้องใบเป็นขน หลังใบขาว เป็นยาฆ่าปรอท “ว่านพระยาแร้งหรือแร้งคอดำ” ใบและต้นดังพลับพลึง หัวโตขนาดเท่าหัวหอมฝรั่งใหญ่ๆ ที่โคนใบมีสีแดงรอบคอต้น มีสรรพคุณใช้แก้มดลูกหย่อน ใช้แก้ทางมดลูกดีนัก(๖)

๒. “ตำราสรรพคุณยาไทย ว่าด้วยลักษณะกบิลว่าน” โดย นายไพทูรย์ ศรีเพ็ญ ได้กล่าวถึง “ว่านพระยาแร้งแค้น” ลักษณะต้นเหมือนผักกาดน้ำ แต่ว่าเล็กกว่า ใบจักๆ มันละเอียดดีกว่าใบผักกาดน้ำ คลีบใบและก้านแดง ท้องใบบนหลังใบขาว เป็นยาฆ่าปรอด(๗)

ว่านพระยาแร้งหรือแร้งคอดำ จาก “ตำราดูว่านและพระเครื่องพระบรมธาตุ” โดย ชัยมงคล อุดมทรัพย์
ว่านพระยาแร้งหรือแร้งคอดำ จาก “ตำราดูว่านและพระเครื่องพระบรมธาตุ” โดย ชัยมงคล อุดมทรัพย์

๓. “ตำราดูว่านและพระเครื่องพระบรมธาตุ” โดย ชัยมงคล อุดมทรัพย์ กล่าวถึง “ว่านพระยาแร้งแค้น” มีลักษณะต้นเหมือนกับต้นผักกาดน้ำ แต่เล็กกว่า ใบจักๆ ละเอียดกว่าใบผักกาดน้ำ ครีบใบและก้านแดง ท้องใบเป็นขนหลังใบขาว เอาต้นใบหัวกวนฆ่าปรอทตาย, “ว่านพระยาแร้งหรือแร้งคอดำ” มีลักษณะใบคล้ายใบพลับพลึง หัวโตเท่าหัวหอมฝรั่งใหญ่ๆ โคนใบมีสีแดงรอบคอเหมือนคอแร้ง

มีสรรพคุณดองกับสุรา กินเป็นยาชักมดลูก และใช้ทางอยู่คงกระพันชาตรีก็ได้ถือติดตัวไป ถ้ากินอยู่ชั่วเบา(ชั่วปัสสาวะออกก็หมดฤทธิ์) เสกด้วย “นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ”(๘)

ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด” โดย พยอม วิไลรัตน์
ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด” โดย พยอม วิไลรัตน์
ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด” โดย พยอม วิไลรัตน์
ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด” โดย พยอม วิไลรัตน์

๔. “ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด” โดย พยอม วิไลรัตน์ “ว่านพระยาแร้นแค้น” ได้กล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมคือ ดอกเหลือง กลิ่นเหมือนกลิ่นกระเทียม, “ว่านพระยาแร้งคอดำ, ว่านพระยาแร้ง, ว่านคอแดง, ว่านกระทู้” ได้กล่าวชัดเจนขึ้นอีกว่า ถ้าก้านหรือตรงคอใบมีสีขาวเป็น “ตัวเมีย” ถ้ามีสีแดงเป็น “ตัวผู้”

ซึ่งคำว่าตัวเมีย-ตัวผู้นั้นเป็นการเทียบระดับ หรือเป็นการบรรยายคุณลักษณะเฉพาะของสิ่งใดๆ แบบโบราณ หากเป็นต้นไม้ ตัวเมียมักจะหมายถึงสิ่งนั้นมีฤทธิ์หรือสรรพคุณอ่อนกว่าตัวผู้ หรือหากเป็นการแบ่งโดยสี ตัวผู้มักมีสีแดงหรือเข้มกว่า พื้นฐานตรงนี้ให้จำให้ดีครับเพราะจะเจอเรื่องแบบนี้ในว่านอีกหลายชนิดเลยทีเดียว

และตำราเล่มนี้ได้บอกจุดตัดของว่านแร้งคอดำอีกอย่างคือ “ใย” ถ้าไม่มีใยไม่ถือว่าเป็นแร้งคอดำครับ(๙)

๕. “ตำราปลูกและดูลักษณะว่าน” โดย อุตะมะ สิริจิตโต กล่าวถึง “ว่านพระยาแร้งคอดำ” ต้นมีลักษณะคล้ายต้นพลับพลึง หัวมีลักษณะดังหัวหอมใหญ่ ใบคล้ายใบพลับพลึง ตรงโคนใบรอบคอมีสีแดง สรรพคุณ ใช้ดองกับสุราแก้โรคเกี่ยวกับมดลูกดีนัก และแก้โรคริดสีดวงทวาร ใช้หัวตำรมไฟที่ทวาร,

การเล่นแร่แปรธาตุจาก “ตำราปลูกและดูลักษณะว่าน” โดย อุตะมะ สิริจิตโต
การเล่นแร่แปรธาตุจาก “ตำราปลูกและดูลักษณะว่าน” โดย อุตะมะ สิริจิตโต

“ว่านพระยาแร้งแค้น” ในตำราเล่มนี้ได้กล่าวถึงดอกว่าน ว่ามีสีเหลืองนวล และกล่าวถึงวิธีการเล่นแร่แปรธาตุด้วยว่านนี้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตถึงที่มาของอีกชื่อคือ “พระยาแร้นแค้น” ว่าอาจจะมีสาเหตุมาจาก การที่มัวแต่สนใจเล่นแร่แปรธาตุด้วยว่านนี้จนไม่ได้ทำมาหากิน เข้าตำรา “เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าขาดไม่รู้ตัว” นั่นเอง(๑๐)

๖. “ตำราว่านวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์” โดย อาจารย์ชั้น หาวิธี กล่าวถึง “ว่านแร้งคอคำ(คอคำที่แปลว่าคอทองนะครับ) ใบคล้ายใบพลับพลึง หัวเหมือนหัวหอมใหญ่ แต่หัวเล็กกว่า ตรงคอใบและก้านใบมีสีขาวเป็นตัวเมีย ถ้ามีสีแดงเป็นตัวผู้ ถ้าไม่มีใยเหมือนใยบัวไม่ใช่แร้งคอคำ ตรงคอแดงเหมือนพญาแร้ง

สรรพคุณใช้ดองกับสุราหรือน้ำร้อน กินชัดมดลูกให้เข้าอู่ แก้ริดสีดวงทวารต่างๆ คงกระพันชาตรีด้วย เวลาจะกินเสกด้วย นะโมพุทธายะ โบราณท่านกล่าวไว้ว่า ว่านกระทู้เจ็ดแบกก็เรียก(๑๑)

(กระทู้เจ็ดแบกชนิดนี้ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเรียกว่า “ว่านกระทู้” เพราะ “กระทู้เจ็ดแบก” เป็นอีกต้นซึ่งเป็นพืชจำพวกบอน ว่านกระทู้คงเป็นต้นที่เหมือนแร้งคอดำมากแต่เป็นชนิดที่ไม่มีใยนั่นเอง และอีกจุดตัดคือโคนใบแดงประมาณ ๒ นิ้ว นั่นคือแดงเฉพาะที่ แต่แร้งคำดำจะแดงที่หัวและลามจนถึงคอใบด้วย)

ว่านพระยาแร้นแค้น จาก “ตำราว่านวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์” โดย อาจารย์ชั้น หาวิธี
ว่านพระยาแร้นแค้น จาก “ตำราว่านวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์” โดย อาจารย์ชั้น หาวิธี

ว่านพระยาแร้นแค้น”(๑๑) กล่าวถึงคล้ายคลึงกับ ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด โดย พยอม วิไลรัตน์ ดังภาพ

๗. “ตำราคุณลักษณะว่าน และ วิธีปลูกว่าน” โดย นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ กล่าวถึง “ว่านพระยาแร้งแค้น” บรรยายเป็นไปในทางเดียวกับตำราข้างต้น, “ว่านพระยาแร้งคอดำ, ว่านพระยาแร้ง, ว่านคอแดง คำบรรยายเป็นไปในทางเดียวกับตำราข้างต้น และระบุชัดเจนลงไปว่าคือ Crinum Latifolium.(๑๒)

๘. “ตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์” โดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น กล่าวถึง “ว่านพระยาแร้งแค้น” และ “ว่านพระยาแร้ง, ว่านแร้งคอดำ” คำบรรยายเป็นไปในทางเดียวกับตำราข้างต้น(๑๓)

“กบิลว่าน ๑๐๘” โดย สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร
“กบิลว่าน ๑๐๘” โดย สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร

๙. “กบิลว่าน ๑๐๘” โดย สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร กล่าวถึง “ว่านแร้งคอดำ” ต้นใบและหัวเหมือนกับว่านไชยมงคล แต่ใบไม่กอดกัน ลำต้นแดง คือกาบเป็นใบดังใยบัว หัวดังหัวหอมใหญ่ ผิวหัวแดง เนื้อในขาว(๑๔)

ดอกว่าน พระยาแร้งคอดำ
ดอกว่าน พระยาแร้งคอดำ

จากข้อมูลต่างๆข้างต้น โดยสรุปแล้วว่านในกลุ่มชื่อนี้มี ๓ ชนิดด้วยกันคือ

๑. ว่านพระยาแร้งคอดำ ตัวผู้ คือชนิดที่บริเวณคอใบมีสีแดงเรื่อ อาจจะมีสีแดงออกน้ำตาลหรือมีสีแดงสดก็ได้ ดอกจะเป็นช่อแบบพลับพลึง เพราะว่านนี้อยู่กลุ่มเดียวกับพลับพลึงลิลลี่ สีดอกขาวขอบชมพู(ดังรูป) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crinum Latifolium. ว่านชนิดนี้ในต่างประเทศใช้เป็นสมุนไพรในการรักษา PROSTATE CANCER หรือ มะเร็งต่อมลูกหมาก และโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากและรังไข่ แต่ในประเทศไทยใช้เกี่ยวกับโรคริดสีดวงทวาร และมดลูก

พระยาแร้งคอดำ ตัวเมีย
พระยาแร้งคอดำ ตัวเมีย

๒. ว่านพระยาแร้งคอดำ ตัวเมีย มีลักษณะเหมือนตัวผู้ แต่คอเป็นสีขาว หัวก็เป็นสีขาวด้วย ข้อมูลจุดตัดร่วมตามตำราของว่านแร้งทั้งสองนั้นคือหัวหรือใบเมื่อหักฉีกแล้วต้องมีใยเหมือนใยบัวนะครับ

เทียบว่าน บน : พระยาแร้งคอดำ ตัวเมีย ล่าง : พระยาแร้งคอดำ ตัวผู้
เทียบว่าน บน : พระยาแร้งคอดำ ตัวเมีย ล่าง : พระยาแร้งคอดำ ตัวผู้

๓. ว่านพระยาแร้งแค้น ผมเองก็เดาไม่ออกจริงๆว่ามันไปเกี่ยวอะไรกับความแค้นของพระยาแร้ง แต่ที่แน่ๆว่านชนิดนี้หายสาบสูญไปจากข้อมูลนักเล่นว่านปัจจุบัน คือตีความกันไม่ออกนั่นเอง เพราะเรื่องของสมุนไพรที่ใช้เล่นแร่แปรธาตุนั้นก็มักจะมีการบังวิชากันเอาไว้ สำหรับเรียกหากันเฉพาะกลุ่ม ว่านชนิดนี้พอเทียบเคียงเป็นการตั้งสมมุติฐานไว้ก็น่าจะตรงกับต้นที่ปัจจุบันเรียกว่า “ต้นหนาด” ครับ

หนาด (Blumea balsamifera) ที่ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าตรงกับว่านพระยาแร้งแค้นมากที่สุด
หนาด (Blumea balsamifera) ที่ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าตรงกับว่านพระยาแร้งแค้นมากที่สุด

ข้อสังเกตคือ ฝอยบรรยายที่ว่า ใบจักๆละเอียดกว่าใบผักกาดน้ำ ท้องใบเป็นขน หลังใบขาว ดอกว่าน มีสีเหลืองนวล ตรงนี้มันตรงกับต้นหนาดมาก ส่วนตรงบรรยายที่ว่า “กลิ่นเหมือนกลิ่นกระเทียม” หนาดนั้นกลิ่นจะเป็นกลิ่นฉุนแบบพิมเสน ซึ่งอาจกลายๆเป็นแบบฉุนแบบกลิ่นกระเทียมก็พอเป็นไปได้

อีกประการคือ คำว่าแร้งแค้นหรือกร่อนเสียงกลายเป็นแร้นแค้นนั้น อาจหมายถึงว่านชนิดนี้ ขึ้นได้และเจริญเติบโตดีในที่แห้งแล้งหรือที่ดินไม่ดีปลูกอะไรก็ไม่งอกงามก็เป็นไปได้ ซึ่งหนาดนั้นก็จัดเป็นพืชทนแล้งและทนดินโทรมได้ดีมากชนิดหนึ่ง

จะมีจุดค้านก็ตรงที่ ครีบใบและก้านแดง” เท่านั้นที่ดูไม่ตรงนัก เพราะหนาดนั้นต้น ก้านจะเขียวออกเขียวอ่อน แต่ก็อย่างว่าหากเป็นเครื่องยาฆ่าปรอทแล้วคงจะใช้แบบธรรมดาไม่ได้ อาจต้องเป็นหนาดหรือพืชกลุ่มนี้ที่มีสายพันธ์พิเศษคือครีบใบและก้านแดงก็เป็นไปได้

ถ้ามันเป็นอย่างสมมุติฐานจริงก็อาจเรียกได้ว่า ว่านพระยาแร้งแค้นก็คือ “หนาดตัวผู้” ซึ่งหมายถึงหนาดพันธ์พิเศษที่มีครีบและก้านใบแดงนั่นเองครับ

ส่งท้ายเรื่องถึงข่าวดีครับ สำหรับแฟนๆท่านใด ที่มีปัญหาปรึกษาเกี่ยวกับว่าน สามารถติดต่อผู้เขียนโดยตรงมาได้ที่ อีเมลล์ attawat_kbv@hotmail.co.th หรือที่  Facebook ชื่อ “อรรถวัติ กบิลว่าน” ได้ครับ

เรียบเรียงโดย อรรถวัติ กบิลว่าน

ผู้เผยแพร่ พรหมวิหารคลินิก

๑๔ ก.ย. ๒๕๕๔ ๔ ต.ค. ๒๕๕๔
——————————————————-

  • แร้ง : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%87
  • สาเหตุการสูญพันธุ์ของ “แร้ง” : http://site.campussociety.net/design/3000/index.asp?newsid=3954&pageid=66350
  • แร้งมาแล้วจ้า 2008-2009 : http://www.thairaptorgroup.com/TRG/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=1729&start=0
  • พญาแร้ง : http://www.prc.ac.th/tree_an_teen/s_calvus.htm
  • พญาแร้ง : http://www.moohin.com/animals/birds-131.shtml
  • “ตำหรับ กระบิลว่าน” โดย หลวงประพัฒสรรพากร
  • “ตำราสรรพคุณยาไทย ว่าด้วยลักษณะกบิลว่าน” โดย นายไพทูรย์ ศรีเพ็ญ
  • “ตำราดูว่านและพระเครื่องพระบรมธาตุ” โดย ชัยมงคล อุดมทรัพย์
  • “ตำรากบิลว่าน และต้นยาวิเศษนานาชนิด” โดย พยอม วิไลรัตน์
  • “ตำราปลูกและดูลักษณะว่าน” โดย อุตะมะ สิริจิตโต
  • “ตำราว่านวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์” โดย อาจารย์ชั้น หาวิธี
  • “ตำราคุณลักษณะว่าน และ วิธีปลูกว่าน” โดย นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ
  • “ตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์” โดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น
  • “กบิลว่าน ๑๐๘” โดย สมาน คัมภีร์ และ ทัศนา ทัศนมิตร

Crinum latifolium (as Amaryllis insignis) : http://ru.wikipedia.org/wiki/%D0%A4%D0%B0%D0%B9%D0%BB:579_Crinum_latifolium_(as_Amaryllis_insignis).jpg