ว่านขมิ้น หรือ ว่านเหลือง
ชื่อพ้อง
Curcuma zedoaria (Rose)
ชื่อวงศ์
วงศ์ขิง (Zingiberaceae)
ว่านขมิ้นแต่โบราณมารู้จักกันเพียง ๒ ชนิด คือชนิดลำต้นและหัวมีสีขาวกับสีแดง นับว่าเป็นว่านมีชื่อเสียงอยู่เป็นที่นิยมและหายากสักหน่อย ถิ่นที่พอจะหาได้มีอยู่ในป่าแถบอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นป่าที่มีความไข้ชุกชุมมาก ต่อมาในขั้นหลัง ๆ นี้เกิดมีว่านขมิ้นเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด อาจจะเป็นลูกผสมของว่านขมิ้นทั้ง ๒ นี้ก็ได้
ลักษณะ
ใบโตกว่ากระชาย มีปลูกทั่วไปเพื่อใช้ประโยชน์เป็นยา เป็นพืชลงหัวใต้ดิน งองาม ในฤดูฝน โทรมในฤดูแล้ง เมื่อโทรมแล้วหัวเง่าใหญ่จะแทงขึ้นบนดินสูงราว ๘–๑๐ นิ้ว มีแขนงเล็ก ๆ แตกอยู่ในดินอีกมาก
ประโยชน์
ทางแผนโบราณว่าหัวมีรสฝาดเฝื่อน แก้ไข้ครั่นเนื้อครั่นตัว รักษาลำไส้ สรรพคุณแผลงว่าแก้พิษโลหิต, แก้ลม, แก้บวม, แก้เสมหะ, แก้ไข้ทั้งปวง แพทย์ตามชนบทใช้หัวขมิ้นเป็นคุมฤทธิ์ยาอื่น ๆ ที่ระบายจัดสมุนไพรในบ้านเราว่า หัวขมิ้นอ้อยเป็นยาขับเบา แก้ฤดูขาวตกหนักและแก้หนองใน เมื่อกินเป็นยาชำระโลหิต น้ำคั้นจากใบขมิ้นอ้อยเป็นยาแก้ท้องมารโดยทางขับปัสสาวะ ในหัวขมิ้นอ้อยมีวัตถุสำคัญชื่อ Cuscumin มีฤทธิ์บำรุงกำลังและขับลมในท้อง จึงใช้เป็นยาแก้ปวดท้องด้วย หัวโขลกให้ละเอียดใช้พอกแก้อาการฟกช้ำบวม แก้เคล็ดข้อเคล็ดอักเสบและบันเทาความปวดได้ นายแพทย์ Dymock ใช้หัวขมิ้นอ้อย, พริกหาง, อบเชยเทศ ต้มกับน้ำผึ้งกินแก้หวัดได้ผลดีมาก
อนึ่ง ขมิ้นอ้อยนี้ใช้เป็นสมุนไพรผสมกับตัวยาอื่น ๆ แก้โรคต่าง ๆ ได้อีกมาก ถ้าถูกพิษว่าน
ต่าง ๆ อันอาจจะเกิดเป็นอันตรายขึ้นแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ท่านให้เอาหัวขมิ้นอ้อยฝนกับน้ำซาวข้าวทาบริเวณที่ถูกว่านยานั้น จะทำให้หายได้ทันที
อนึ่ง ถ้าต้องการจะให้อยู่คงกระพันชาตรี ท่านให้เอาหัวขมิ้นอ้อยมาเศกด้วยคาถา ดังนี้ “อิกะวิติโอมพระยาขมิ้น ลิ้นกูเป็นทองแดง ตับกูแข็งดังศิลาแลง หัวกูแข็งยิ่งกว่าคนทั้งหลาย เดชะคุณครู ประสิทธิ์ให้แก่กู โอมสวาหะ” โดยเศก ๓ หรือ ๗ ครั้ง แล้วเอาหัวขมิ้นนั้นมากินหรือถือเก็บติดตัวไว้ก็ได้ ทำให้เกิดคงกระพันชาตรีแก่ผู้นั้น ชื่อที่เรียกกัน ขมิ้นอ้อย, ขมิ้นหัวขึ้น, เลมียด (เขมร), รักเชือ (ละว้า), ว่านเหลือง, ว่านขมิ้น
การปลูก
ใช้ดินธรรมดาปลูก อย่างปลูกต้นไม้ทั่ว ๆ ไป ใช้หัวหรือเง่าปลูก
บทคัดลอกจาก “ตำราคุณลักษณะว่านและวิธีปลูกว่าน” โดย สมาคมพฤกษชาติแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
รวบรวมและเรียบเรียงโดย นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ
เผยแพร่โดย ทีมงาน www.farmssb.com